FASHION

ตอบทุกคำถามกับ Maison Kitsuné แบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่มีมากกว่าแค่ 'แฟชั่น'

ปัจจุบันนี้ Maison Kitsuné ยังคงแผ่ขยายอิทธิพลผ่านศิลปะการใช้ชีวิตที่ผสมผสานวัฒนธรรมของฝรั่งเศส และญี่ปุ่น ควบคู่ไปกับการค้นหาสิ่งใหม่ๆ เสมอมา จนกลายเป็นสเน่ห์อย่างหนึ่งที่ใครก็ไม่อาจปฏิเสธได้ลง หนึ่งในนั้นก็คือโว้กประเทศไทยเอง ที่ครั้งนี้ขอมานั่งจับเข่าคุยถึงเบื้องหลังกับ Maison Kitsuné สักครั้งให้หายสงสัย...

     เป็นเวลาเกือบ 18 ปีที่ Maison Kitsuné ผงาดอยู่ในอุตสาหกรรมแฟชั่น เพราะเผื่อใครยังไม่รู้ว่า...แท้จริงแล้ว Maison Kitsuné มิได้โด่งดัง และโดดเด่นในอุตสาหกรรมแฟชั่นเท่านั้น หากยังมีอีกภาคส่วนของแบรนด์ที่คอยขับเคลื่อนวงการเพลงอย่าง Kitsuné Musique ด้วยความสามารถอันหลากหลายของ 2 ผู้ก่อตั้ง 2 ชนชาติอย่าง Gildas Loaec จากประเทศฝรั่งเศส และ Masaya Kuroki จากประเทศญี่ปุ่น ที่บัดนี้มรดกที่เขาทั้งคู่ได้สร้างไว้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งที่เชื่อมต่อระหว่างกลุ่มคนที่หลงรักในแฟชั่น เสียงดนตรี ไปจนถึงความชื่นชอบในการดื่มกาแฟเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว ทำให้แบรนด์ Maison Kitsuné มีครบทุกมิติอย่างชนิดที่ว่าหาจับตัวได้ยากทีเดียว

      ปัจจุบันนี้ Maison Kitsuné ยังคงแผ่ขยายอิทธิพลผ่านศิลปะการใช้ชีวิตที่ผสมผสานวัฒนธรรมของฝรั่งเศส และญี่ปุ่น ควบคู่ไปกับการค้นหาสิ่งใหม่ๆ เสมอมา จนกลายเป็นสเน่ห์อย่างหนึ่งที่ใครก็ไม่อาจปฏิเสธได้ลง หนึ่งในนั้นก็คือโว้กประเทศไทยเอง ที่ครั้งนี้ขอมานั่งจับเข่าคุยถึงเบื้องหลังกับ Maison Kitsuné สักครั้งให้หายข้องใจ...

     Vogue Thailand : คำจำกัดความเบื้องหลังของคอนเซปต์ “Art de Vivre” ของแบรนด์คืออะไร

     Maison Kitsuné : คำจำกัดความของมันง่ายมาก มันคือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของเราเอง สิ่งที่เราทำอยู่ในทุกๆ วัน และเป็นสิ่งที่เรารู้สึกหลงใหล

     Vogue Thailand : มากกว่าแบรนด์แฟชั่น Maison Kitsuné ยังมีทั้งคาเฟ่ และ Maison Musique อะไรคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้คุณตัดสินใจสร้างอณาจักรที่เป็นมากกว่าแฟชั่นของ Maison Kitsuné ขึ้นมา

     Maison Kitsuné : อย่างที่ทุกคนทราบกันเป็นอย่างดีว่า เมื่อเราเริ่มก่อตั้งแบรนด์ Maison Kitsuné ในปี 2002 สิ่งสำคัญที่เราต้องการที่จะทำอย่างมากก็เห็นจะหนีไม่พ้น การสร้างแบรนด์ที่สะท้อนให้เห็นคอนเซบต์ Art De Vivre ที่กล่าวไปแล้วข้างต้นอย่างชัดเจน ซึ่งทุกอย่างนั้นเกิดจากความหลงใหลทั้งสิ้น เริ่มจากตอนแรกที่เราทั้งคู่มีความชอบในเรื่องของเพลง และแฟชั่น ดังนั้นเราจึงได้สร้าง Kitsuné Musique และแบรนด์แฟชั่น Maison Kitsuné ก่อนที่ในปี 2013 เราทั้งคู่ได้หันมาหลงใหลในกาแฟ เราจึงได้สร้าง Café Kitsuné ขึ้นมา ซึ่งมันจะยังไม่หมดเพียงเท่านี้อย่างแน่นอน เพราะทุกแบรนด์ที่เรสร้างมันเหมือนเป็นการพัฒนาตัวเราไปด้วยในตัวเช่นกัน

     Vogue Thailand : “ดนตรี” สำคัญกับ “อุตสาหกรรมแฟชั่น” มากแค่ไหน

     Maison Kitsuné : จริงๆ แล้ว Kitsuné Musique ที่เราสร้างขึ้นมากับมือนั้น ตอนนี้ได้กลายเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญของแบรนด์แฟชั่นของเราไปแล้วเรียบร้อย หลายครั้งที่แบรนด์แฟชั่น และแบรนด์ดนตรีของเรามักจะสะท้อนผลงานออกมาในทิศทางเดียวกัน เพื่อสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างให้กับเหล่าสาวกของแบรนด์ได้อย่างน่าสนใจ และน่าติ่นเต้น แต่แน่นอนว่าหลายๆ ครั้งในตมิติของธุรกิจทั้งสองแบรนด์ก็มีเส้นทางเป็นของตัวเองอย่างชัดเจน ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่เราตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้น เพราะที่นี่เราให้ความใส่ใจกับเรื่องราวของความน่าเชื่อถือของแต่ละแบรนด์เสมอ

     Vogue Thailand : อีกหนึ่งเอกลักษณ์สำคัญที่ปฏิเสธไม่ได้เมื่อนึกถึง Maison Kitsuné คือ “สุนัขจิ้งจอก” ทำไมคุณจึงตัดสินใจใช้สุนัขจิ้งจอกเป็นสัญลักษณ์สำคัญของแบรนด์

     Maison Kitsuné : อย่างที่หลายๆ คนรู้อยู่แล้วว่า “Kitsuné” แปลว่า  “สุนัขจิ้งจอก” ในภาษาญี่ปุ่น แต่ที่มากไปกว่านั้นก็คือสุนัขจิ้งจอกยังเป็นสัญลักษณ์ของ “ความเก่งกาจ” ตามตํานานกล่าวเอาไว้ว่า สุนัขจิ้งจอกเป็นสัตว์ที่มีพลังอํานาจในการเปลี่ยนแปลงชีวิตขแงมันได้  เช่นเดียวกับที่เราด้สร้างแบรนด์ที่หลากหลายของเราขึ้นมา ดังนั้นมันจึงเป็นการตัดสินใจอันแน่วแน่ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราสร้างแบรนด์นี้ขึ้นมา และเลือกใช้สุนัขจิ้งจอกเป็นโลโก้ลายเซ็นของเรา ละบัดนี้มันก็ได้กลายเป็นที่ชื่นชอบของเราไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย  ซึ่งตลอด 18 ปีที่ผ่านมา เรากำลังสนุกกับการเล่นแร่แปรธาตุสัญลักษณ์จิ้งจอกของเรา ให้มีหลากหลายรูปแบบ และมีจำนวนที่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ‘Tricolor Fox’, ‘Double Fox Head’, ‘Yoga Fox’ และ ‘Chillax Fox’ 



WATCH




     Vogue Thailand : ทำไมเราถึงไม่เคยเห็น "มิวส์" ของแบรนด์คุณเลย

     Maison Kitsuné : แบรนด์ของเราไม่เคยมีมิวส์ เหมือนแบรนด์แฟชั่นอื่นๆ เพราะเราได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานต่างๆ มาจากวิถีชีวิตในแต่ละวัน ผู้คนที่เราพบในแต่ละวัน ไปจนถึงจากการท่องเที่ยวของเรา ดังนั้นสำหรับเราแล้วมิวส์ก็คงจะไม่จำเป็น...

      Vogue Thailand : อุตสาหกรรมแฟชั่นเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤตการณ์โควิด-19 สำหรับแบรนด์ Maison Kitsune แล้ว จัดการกับผลกระทบที่ถาโถมโดยไม่ทันได้ตั้งตัวในครั้งนี้อย่างไร

     Maison Kitsuné : สำหรับแบรนด์ของเราแล้ว นับเป็นโชคดีที่เรายังสามารถรักษาธุรกิจของเราให้อยู่รอดมาได้ โดยเราได้วางแผนบนเส้นทาการขายบนโลกงออนไลน์ หรือ E-Shopping ในช่วงเวลานี้ ขณะเดียวกันเราก็ยังคำนึงถึงสุขอนามัยของพนักงานของเราเป็นหลักด้วยเช่นกัน เพื่อความปลอดภัยด้านสุขอนามัย ซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้กันกับธุรกิจของเรา ที่ตอนนี้ก็ได้กลับมาเปิด และดำเนินกิจการตามปกติอีกครั้ง แต่โดยรวมแล้วทุกอย่างก็จะดำเนินไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป

     Vogue Thailand : นอกจากแบรนด์แฟชั่น, คาเฟ่ และค่ายเพลง Maison Kitsuné ยังมีอะไรที่อยากทำ และวางแผนไว้ว่าจะทำในอนาคตอีกหรือไม่

     Maison Kitsuné : นอกจากแบรนด์ของเราทั้ง 3 แบรนด์ ภายใต้หลังคา Maison Kitsuné ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์แฟชั่น, แบรนด์ดนตรีอย่าง Kitsuné Musique และแบรนด์คาเฟ่อย่าง Café Kitsuné ที่เพิ่งเปิดตัวโรงคั่วเมล็ดเป็นครั้งแรกใน Okayama เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2019 ที่ผ่านที่แสดงให้เห็นถึงขั้นตอนของกระบวนการคั่วเมล็ดทุกขั้นตอน เพื่อให้แน่ใจว่าคุณภาพ และรสชาติของกาแฟที่เราให้บริการให้กับลูกค้าของเรา อีกทั้งในส่วนของ Maison Kitsuné เรายังมุ่งเน้นคุณภาพ และรายละเอียดการตัดเย็บ ไปจนถึงการพัฒนาคุณภาพของบคลากรภายในสตูดิโอของเราอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเราวางแผนที่จะทํางานหนักเพื่อเรียนรู้ ปรับปรุง และทํางานร่วมกัน และแน่นอนว่าอย่างที่เราพูดอยู่เสมอว่า Kitsuné มักจะค้นหา และพร้อมที่จะสร้างสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอเพื่อความแตกต่าง ดังนั้นรอดูโปรเจกต์ใหม่ๆ ของเราได้เลย...

WATCH