เป็นแบบนี้แล้วทำไม...Lizzo สร้างความมั่นใจให้ทุกคนไม่ต้องปิดบังรูปร่างตัวเองอีกต่อไป
ความภาคภูมิใจในรูปร่างที่ Lizzo พยายามส่งต่อความมั่นใจนี้สู่ทุกคน
“ไม่มีอะไรต้องซ่อนไว้ เพราะร่างกายของเรามันเป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่สุด” หากจะใช้คำกล่าวนี้ในการสร้างมุมมองเชิงบวกให้กับคติการมองรูปร่างของมนุษย์ ทุกคนน่าจะเปิดกว้างในการนำเสนอความเป็นธรรมดาทั่วไปของรูปร่างทุกรูปแบบได้มากขึ้น Lizzo คือซูเปอร์สตาร์คนหนึ่งที่ใส่ใจเรื่องนี้เสมอมา เธอเป็นกระบอกเสียงสำคัญให้คนกล้าจะเปิดเผยตัวตนของตัวเองมากขึ้น การปิดบังไม่ช่วยอะไร ดังนั้นการเปิดเผยอย่างหมดเปลือกคือสิ่งสำคัญในมุมมองของเธอ มาดูกันว่านักร้องเจ้าของเพลงฮิต Juice นั้นมีมุมมองเรื่องรูปร่างตัวเองและการเปิดเผยรูปร่างโดยไม่ถูกปิดกั้นโดยกรอบสังคมอีกต่อไปอย่างไร
การระเบิดความอคติต่อรูปร่างคือการเดินหน้าของมวลมนุษยชาติ ผู้คนบนโลกต่างมีบรรทัดฐานความงามในรูปแบบของแต่ละสังคม นั่นทำให้รูปร่างหลายรูปแบบกลายเป็นรูปร่างไม่สมบูรณ์แบบ หรือกลายเป็นรูปร่างชายขอบของสังคมจนเหล่าผู้มีรูปร่างดังกล่าวไม่กล้าจะเผยสัดส่วนหรือแม้แต่ตัวตนของตัวเองออกสู่สังคมอย่างมั่นใจ ลิซโซคือศิลปินผู้ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้อย่างจริงจัง จากคำสบประมาทมากมาย การดูถูกเหยียดหยาม และบูลลี่หลากหลายรูปแบบ วันนี้เธอกล้าพูดว่า “จะปิดบังมันไปทำไมในเมื่อมันเป็นร่างกายของเรา”
นักร้องวัย 32 ปีชวนเราย้อนนึกถึง “What’s Underneath Project” เมื่อปี 2015 ที่เธอลงทุนเปลื้องความมั่นใจผิวนอกออกและค่อยๆ เผยรูปร่างของตัวเองให้ทุกคนได้เห็น เสื้อผ้า รองเท้า และวิกผมถูกสลัดทิ้งเหลือแต่ร่างกายและจิตใจเพียวๆ หลังจากนั้นก็กล่าวถึงสิ่งที่เธอรักในตัวเธอเอง นอกจากนี้เธอยังกล่าวไว้ในวิดีโอคอลออนไลน์ในโปรเจกต์ Self Esteem ที่จัดโดยแบรนด์ Dove ว่า “ถ้ามีใครสงสัยอยากเห็นรูปร่างจริงๆ ของฉัน สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือเข้ายูทูบ” นั่นแสดงให้เห็นว่าเธอไม่ได้ปิดกั้นหรือเขินอายต่อรูปร่างตัวเองอีกต่อไป เธอกล้าจะเผชิญความจริงพร้อมผลักดันให้คนมองเห็นคุณค่าและบอกรักตัวเองมากยิ่งขึ้น
WATCH
การโพสต์ภาพโดยไม่ตกแต่งดัดแปลงของเธอสร้างแรงบันดาลใจให้คนได้มหาศาล สิ่งนี้ส่งเสริมให้คนเริ่มมั่นใจในการนำเสนอตัวของตัวเองอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด โดยไม่ผ่านการแต่งเติมด้วยโปรแกรมใดๆ หรือที่เรียกว่าตัวตนของตัวเองแบบธรรมชาติเต็มรูปแบบ ซึ่งสำหรับลิซโซความรักในเนื้อแท้ของตัวเองจริงๆ ไม่ใช่ทางเลือกแต่เธอใช้คำว่า “การดำรงอยู่ที่แท้จริง” พร้อมอธิบายว่า “ถึงอย่างไรฉันก็ต้องใช้ชีวิตไปพร้อมกับร่างกายแบบนี้ของฉัน มีความสุข และสนุกสนานกับชีวิต ฉันต้องหาทางที่จะรักตัวเองหลังจากเคยมีมุมมองเชิงลบกับร่างกายตัวเองมานาน” กำลังใจจากลิซโซส่งถึงคนรูปร่างทุกแบบให้ใช้ชีวิตด้วยร่างกายของตัวเองอย่างภาคภูมิใจ มุมมองอคติที่มีต่อตัวเองต้องค่อยๆ เลือนหายไป และใช้ชีวิตอันเปี่ยมรักไปพร้อมกับร่างกายของแต่ละคนโดยไม่มีกฎเกณฑ์ใดมาขีดกำหนดเราได้
“ต้องทำให้เรื่องนี้เป็นปกติ” ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันยังมีอคติต่อรูปร่างหรือการสร้างมาตรฐานความงดงามจนทำให้รูปร่างหลายแบบกลายเป็นความไม่ปกติไม่มากก็น้อย วันนี้ลิซโซอยากให้ทุกคนเปลี่ยนมุมมองและทำให้ร่างกายทุกรูปเป็นปกติสำหรับทุกสังคม “การที่ฉันออกมาพูดอะไรแบบนี้ก็เพื่อให้พวกเราทุกคนทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ” แน่นอนเราคงไม่ต้องส่งเสริมยกยอจนเกินพอดี เพียงแค่มองว่าทุกคนแตกต่าง ทุกคนไม่เหมือนกัน อคติจะค่อยๆ จางลง หลงเหลือแต่ความปกติที่จะไม่มีใครจะหลุดมาตรฐานความงามที่ถูกกำหนดขึ้นมาลอยๆ จากทุกสังคมทั่วโลกอีกต่อไป
“จงทำเหมือนกับร่างกายของเราเองเป็นเหมือนกับร่างกายทุกๆ คนนั่นล่ะ” ลิซโซพยายามบอกให้ทุกคนเริ่มต้นจากตัวเอง มั่นใจและสร้างพลังบวกให้สามารถทำอะไรก็ตามได้อย่างอิสระ “ฉันมายืนตรงนี้ ไม่ได้มาพูด ไม่ได้กล่าวบทแถลงการณ์พิเศษ แต่นี่คือร่างกายของฉัน” ทุกคนเชื่อหรือไม่ว่าเด็กๆ หลายคนต้องตื่นมาพบกับความอยากเป็นอื่น อยากถอดรูปลักษณ์ตัวเองออกแล้วเปลี่ยนรูปร่าง เปลี่ยนสีผิว เปลี่ยนสีตา หรือแม้กระทั่งทรงผม เพราะพวกเขาไม่มั่นใจในคุณค่าของตัวเอง พวกเขามองว่าคนในมาตรฐานความงามคือต้นแบบในอุดมคติ หากหลุดกรอบนั้นออกมาจะกลายเป็นคนชายขอบของสังคมทันที และนั่นคือปัญหาที่ร่างกายของคนบางคนถูกมองว่าไม่ปกติ ซึ่งเรื่องนี้จะต้องถูกเปลี่ยนแปลงให้เร็วที่สุด
วันหนึ่งคุณชมโฆษณาและเห็นความงามรูปแบบเดียวกันถูกสร้างมาตรฐานมาตลอดนานเป็นทศวรรษ แน่นอนว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่ผิดที่มีรูปร่างแบบหนึ่ง แต่การผลิตซ้ำสารที่ใช้ส่งต่อซ้ำๆ นั้นอาจลดทอนคุณค่าของกลุ่มคนหลายกลุ่มไปตลอดกาล “ฉันเคยอยากเป็นแบบนั้นนะ แต่สุดท้ายฉันก็เปลี่ยนใจว่าฉันจะไม่เปลี่ยนแปลงและไม่มองว่าตัวเองไม่มีคุณค่า ฉันไม่ต้องการให้มุมมองความงามรูปแบบเดียวเบียดเบียนรูปแบบอื่น” ลิซโซเน้นย้ำอย่างเรื่องนี้อย่างชัดเจน อีกแง่หนึ่งนอกจากการผลิตซ้ำของสื่อแล้ว การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมก็สำคัญไม่แพ้กัน หากเราหมกมุ่นเสพอยู่กับวิถีการมองโลกหรือมาตรฐานแบบเดียวจนเกินไปจะยิ่งตีกรอบความคิดให้แคบลง ลองหันมามองบางสิ่งบางอย่างที่สอดคล้องกับเรามากขึ้น เราจะเห็นทันทีว่าเราเองก็มีคุณค่าและรูปแบบความสวยงามเฉพาะในแบบที่เราเป็นอยู่ เรื่องนี้จะเปลี่ยนแปลงจากมุมมใดมุมหนึ่งไม่ได้ ทุกอย่างต้องขับเคลื่อนไปพร้อมกันทั้ง อุตสาหกรรมความงาม แฟชั่น ผู้มีอำนาจ และตัวปัจเจกบุคคล ทั้งหมดจึงสามารถเรียกได้ว่า “การเปลี่ยนแปลงเรื่องคุณค่าและมุมมองด้านความของมวลมนุษยชาติ”
ภาพ: @lizzobeaating / Vogue US
WATCH