La Dolce & Gabbana Vita
FASHION

La Dolce & Gabbana Vita นิทรรศการใหม่ของดีไซเนอร์คู่หู เชิดชูประเทศอิตาลีด้วยความอลังการ!

นิทรรศการ La Dolce & Gabbana Vita คือนิทรรศการใหม่ล่าสุดของดีไซเนอร์คู่หู ซึ่งถือเป็นการเชิดชูประเทศอิตาลีได้อย่างอลังการตามแบบฉบับของแบรนด์ Dolce & Gabbana

     ครั้งแรกที่ Domenico Dolce กับ Stefano Gabbana หารือกันเรื่องการจัดงานฉลองคอลเล็กชั่น Alta Moda, Alta Sartoria และ Alta Gioielleria อันเป็นที่สุดแห่งองค์งานที่ทั้งสองร่วมกันสร้างมาถึงสี่ทศวรรษ การจัดนิทรรศการนี้ได้ให้นางแบบสวมเสื้อผ้าออกมาให้ชมเสมือนเป็นบทเรียนแด่ผู้ชมนั้นไม่ได้ติดโผตัวเลือกของทั้งสองเลย สเตฟาโน่บอกว่า“ตัวตนของเราไม่ได้เป็นแบบนั้น” ทั้งสองเลือกปาลาซโซ่ เรอาเล่ (Palazzo Reale) ในมิลานเป็นสถานที่จัดงานในแนวดำดิ่งสู่ประสบการณ์ และจัดการแปลงโฉมสถานที่ เพื่อจัดแสดงภาพที่มีชีวิต ร้อยเรียงกันอย่างอลังการ บนรากเหง้าของอารมณ์และความรักในวัฒนธรรมอิตาเลียน ที่มีช่างฝีมือถ่ายทอดออกมาเป็น Fatto a Mano หรืองานฝีมืออันเลิศ

     นิทรรศการ “From the Heart to the Hands” ในความดูแลของภัณฑารักษ์โฟลรองซ์ มูลเลอร์ นักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศส (ผู้เคยจัดนิทรรศการ “Dior: From Paris to the World” และ “Yves Saint Laurent: The Retrospective” มาแล้ว) จัดแสดงในมิลานตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน - 31 กรกฎาคมนี้

     “วันนี้ความคิดเรื่องอาเตลิเยร์ ที่เน้นเรื่องงานฝีมือได้เข้าสู่กระแสหลักไปแล้ว” โดเมนิโกกล่าวเปิดใจ “เรามีซาร์ตอเรีย (ห้องเสื้อผู้ชาย/ร้านตัดเสื้อบุรุษ) ของเราเองมาตั้งแต่แรก ตัวผมเองเกิดและโตในซาร์ตอเรีย แล้วผมก็วนกลับมาดูเรื่องเสื้อสูทที่สมบูรณ์แบบ (la giacca perfette) อยู่เรื่อยๆ” (ในสตูดิโอของโดเมนิโกมีทั้งกระจกบานเดิมจากร้านตัดเสื้อของพ่อ และภาพพระแม่ที่พระอัครสังฆราชมากบารมีท่านหนึ่งมอบให้พ่อของเขา)

     สำหรับการเปิดตัว Alta Moda ในปี 2012 สเตฟาโน่บอกว่าเป็นโอกาสที่จะ “ให้ของขวัญตัวเองเป็นความคิดสร้างสรรค์แบบไร้ขีดจำกัด” และนิทรรศการนี้ก็เป็นเหมือนการท่องไปในจักรวาลที่รุ่มรวยไปด้วยสีสันพร้อมกับรสสัมผัสเหมือนกาซซาต้า (Cassata) ขนมของซิซิลีที่ตกแต่งหน้าอย่างสวยงาม เหมือนลวดลายประดับตามปาลาซโซ่ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวเล่าขาน

     บัตรเชิญไปชมนิทรรศการ “From the Heart to the Hands” เป็นรูปนางแบบสวมเดรสที่ได้แรงบันดาลใจมาจากแม่พระมาดอนนิน่าประติมากรรมสีทองบนยอดอาสนวิหารมิลาน ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของนครแห่งนี้ โดเมนิโกเล่าว่า“ตอนผมเดินทางจากซิซิลีมาถึงมิลาน ผมสวดอ้อนวอนต่อมาดอนนิน่าว่าผมไม่ขอกลับไปซิซิลีอีกแล้ว ขอให้ท่านรั้งผมไว้ที่นี่ และท่านก็ฟังผมเสียด้วย”

     นิทรรศการนี้แบ่งเป็น 10 บท โดยแต่ละบทจัดแสดงในรูปผลงานติดตั้งเป็นสัดส่วนไม่ปะปนกัน บทแรกนั้นได้แรงบันดาลใจจากความงามอลังการของ Scuola Grande di San Rocco อันเป็นที่รวมผลงานชิ้นงามเลิศที่สุดของตินโตเรตโต (Tintoretto) แกลเลอรีผนังกระจกอันโอฬารเป็นที่จัดแสดงภาพเขียนฝีมือของอันห์ เดื่อง (Anh Duong) ผู้เป็นมิวส์ของดีไซเนอร์คู่หูมาอย่างยาวนาน ภาพเขียนของเธอติดตั้งอยู่รอบๆ กลุ่มหุ่นโชว์เสื้อที่ทำจากเปเปอร์มาร์เช่และใช้แสดงเทคนิคอันประณีตซับซ้อนในการตัดเย็บเสื้อผ้าบุรุษ

     ห้องถัดมาออกแบบให้เป็นโถงกระจกสมัยใหม่ เพื่อเชิดชูผู้ผลิตแก้วที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์เวนิส เช่น Barbini และ Barovier & Toso วัตถุตั้งแสดงคือชุดราตรีและผ้าคลุมประดับดอกไม้แก้วทำมือ ในแบบงานปักประดับที่ทอประกายระยับราวกับอัญมณี ใต้แสงจากโคมระย้าแอนทีกบนเพดาน พื้นที่ถัดมาอุทิศให้กับ Gattopardo (The Leopard) ภาพยนตร์เรื่องสำคัญของวิสคอนติที่ออกฉายในปี 1963 ฉากหลังของเรื่องคือประเทศอิตาลีในทศวรรษ 1860 ที่ปั่นป่วนวุ่นวาย โดยเนื้อเรื่องกล่าวถึงความล่มจมของโลกชนชั้นขุนนาง ในช่วงที่ชนชั้นกระฎุมพีกำลังขึ้นมามีอำนาจ

     “นี่คือจุดอ้างอิงที่ค่อนข้างสำคัญสำหรับเรา” โดเมนิโกกล่าว “และยังเป็นสัญลักษณ์ของพลังขั้วตรงข้ามที่เป็นตัวขับเคลื่อนแฟชั่น ที่ไม่เคยตัดใจเลือกได้ระหว่างอดีตกับปัจจุบัน” ห้องบอลรูมของ Palazzo Valguarnera-Gangi ในเมืองปาแลร์โม ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวนำมาจำลองไว้ที่นี่ และใช้เป็นห้องจัดแสดงชุดราตรีงามวิจิตรที่ได้แรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์ นอกจากนี้ยังมีห้องที่จำลองห้องตัดเย็บเสื้อผ้าบุรุษของแบรนด์อย่างครบครัน มีช่างเทเลอร์ของ Alta Moda นั่งทำงานอยู่ด้วย

     อีกห้องคือห้องเรอเนซองซ์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมของ Palazzo Farnese ในกรุงโรม โดยมีภาพเขียนที่มีชื่อเสียงถูกถ่ายทอดออกมาเป็นเดรสที่อลังการด้วยโครงสร้าง นอกจากนี้ผู้ชมยังจะได้ชม barocco bianco งานอาราเบสก์ซึ่งเป็นลายอาหรับจากโชว์ของ Alta Moda 2022 ที่นำมาแสดงภายใต้แสงสีขาวเจิดจ้า ส่วนรากเหง้าความเป็นกรีกของวัฒนธรรมซิซิเลียนนั้นถูกนำเสนอผ่านชุดโทกาแบบเทพีกรีก อัดพลีตละเอียดทั้งตัวจากโชว์ปี 2019 ซึ่งจัด ณ Valle di Templi เมืองอากริเจนโต ส่วนชุดสุดท้ายเป็นการแสดงความเคารพต่อโรงอุปรากร La Scala แห่งมิลานแบบจัดเต็ม แม้แต่ที่นั่งบุกำมะหยี่สีแดงในโรงอุปรากรก็จำลองมาให้ดู

      คำนิยามสุดท้ายของ “From the Heart to the Hands” คือนิทรรศการที่แสดงถึงความเชื่อที่ว่าแฟชั่น “สามารถพาเราไปสู่อาณาจักรแห่งแฟนตาซีและความฝันเหนือความเป็นจริง” โฟลรองซ์ มูลเลอร์ ภัณฑารักษ์ของงานกล่าว นิทรรศการครั้งนี้นอกจากจะแสดงผลงานชิ้นเอกของโดเมนิโก โดลเช่ และสเตฟาโน่ กาบบาน่า ได้อย่างวิจิตรอลังการแล้ว ยังเป็นการให้แสงแก่ประเทศอันเป็นที่รักของทั้งสองประเทศที่มีดีไซเนอร์คู่หูบอกว่าศิลปะเป็นของคนหมู่มาก มิใช่เพียงคนไม่กี่คน

     “คนอิตาเลียนทุกคนเป็นศิลปิน” โดเมนิโกบอกอย่างหนักแน่น “ในสาแหรกตระกูลของคนอิตาเลียนทุกครอบครัวจะมีญาติที่เคยใกล้ชิดกับการาวัจโจ (Caravaggio) เคยรู้จักไมเคิล แองเจลโล หรือเคยร้องเพลงกับแวร์ดิ สำหรับคนอิตาเลียนแม้แต่การทำรากูยังเป็นการแสดงออกเชิงศิลปะอย่างหนึ่ง”



WATCH




ข้อมูล : Courtesy of Dolce & Gabbana

WATCH