FASHION
เปิดรหัสลับที่ Nadège Vanhee-Cybulski ซุกซ่อนไว้บนรันเวย์ฤดูหนาวของ HermèsSET THE BAR STRAIGHT อะไรคือรหัสลับที่ Nadège Vanhee-Cybulski ซุกซ่อนไว้บนรันเวย์ฤดูหนาวของ Hermès ตามเราไปสำรวจอัตลักษณ์และรากฐานสำคัญของแบรนด์กัน |
SET THE BAR STRAIGHT อะไรคือรหัสลับที่ Nadège Vanhee-Cybulski ซุกซ่อนไว้บนรันเวย์ฤดูหนาวของ Hermès ธรรมธัช ศรีวันทนียกุล พาเราไปสำรวจอัตลักษณ์และรากฐานสำคัญของแบรนด์
แอร์เมสถือเป็นอีกหนึ่งโชว์ที่เรียกเสียงฮือฮาไม่น้อยในแฟชั่นวีกกรุงปารีสคอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ร่วง/ฤดูหนาว 2020 รันเวย์ล่าสุดของเจ้าแห่งกล่องส้มช่วยการันตีว่าแบรนด์สัญชาติฝรั่งเศสรายนี้ไม่ได้มีดีแค่เรื่องกระเป๋าหนังซึ่งผู้หญิงทั่วโลกต่างปรารถนาจะเป็นเจ้าของสักใบ งานออกแบบเสื้อผ้าสตรีสีสันสนุกและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแทบทุกลุคได้รับคำชื่นชมจากผู้ชมอย่างล้นหลาม งานนี้สาวนาแดจโต้โผใหญ่ผู้กุมบังเหียนงานออกแบบได้รับเครดิตไปเต็มๆ
คอลเล็กชั่นใหม่นี้ถือเป็นการฉลองครบ 5 ปีหลังจากการเดบิวต์คอลเล็กชั่นฤดูหนาวปี 2015 ซึ่งเปิดตัวด้วยการนำธีมกีฬาขี่ม้ามาเป็นแรงบันดาลใจ ตลอดครึ่งทศวรรษหลังเข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์แผนกเสื้อผ้าสตรี นาแดจเชื่อมโยงเรื่องราวของแบรนด์เข้ากับงานออกแบบที่ผสานงานฝีมือและเทคนิคการสร้างสรรค์แบบใหม่เข้าด้วยกัน จนเสื้อผ้าเรียบง่ายเน้นการใช้งานในดีไซน์คลาสสิกกลายเป็นภาพจำของสาวแอร์เมสยุคใหม่ไปโดยปริยาย แต่ทว่าผลงานคอลเล็กชั่นนี้กลับแตกต่างจากภาพจำเดิมๆ อีกครั้ง
มองเผินๆ นี่คือลูกเล่นของการออกแบบซึ่งตอบโจทย์ของผู้ชมยุคดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มข้างรันเวย์ที่คอยยกมือถือขึ้นมาถ่ายภาพเป็นระยะ หรือเหล่าผู้รอชมทางบ้านผ่านทางหน้าจอซึ่งพร้อมจะแคปสกรีนส่งต่อไปยังเครือข่ายของตน บรรยากาศบนรันเวย์นั้นกระตุ้นเร้าให้พร้อมใจกันแชร์ นับเป็นอีกโชว์ที่นำเสนอเรื่องราวของแบรนด์ได้อย่างแยบยล
ทีมงานเนรมิตสถานที่ให้ดูโปร่งโล่งด้วยสีขาวนวลราวกับผืนทรายไล่ตั้งแต่พื้นด้านล่างของเวทีขึ้นไปจรดเพดานกว้างด้านบน เก้าอี้ยาวแบบไร้พนักพิงสีครีมสะอาดตาที่วางอยู่ตามขั้นบันไดคือที่นั่งสำหรับผู้ชม อัฒจันทร์บริเวณด้านข้างนี้วางโค้งต่อกันเป็นวงกลมช่วยนำสายตาไปยังพื้นที่ตรงกลาง รันเวย์ตกแต่งด้วยเสาขนาดใหญ่ตั้งสลับกันไปมาตามแนวยาวดูคล้ายโครงสร้างของม้าหมุน ทุกต้นทาสีขาว แต่งลวดลายกับเฉดสีไม่ซ้ำ มีตั้งแต่กลุ่มแม่สีทั้ง 3 และสีผสมที่โดดเด่นอย่างเขียวเข้มและส้ม Orange H อาจจะดูคล้ายงานจิตรกรรมของ Piet Mondrian ศิลปินชาวดัตช์ในกระแสนามธรรมผู้ขึ้นชื่อเรื่องการใช้แม่สี แต่จริงๆ แล้วเสาหลากสีเหล่านี้เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมของแบรนด์
เป็นที่รู้กันว่าต้นกำเนิดของแอร์เมสมาจากธุรกิจอานม้าของผู้ก่อตั้ง Thierry Hermès ในเวลานั้นท้องถนนทั่วกรุงปารีสตลอดจนหัวเมืองใหญ่ของยุโรปล้วนคลาคล่ำไปด้วยม้าและรถม้า การผลิตอุปกรณ์ขี่ม้าจึงไม่ต่างอะไรกับอุตสาหกรรมรถยนต์ในปัจจุบัน แม้เวลาจะผ่านล่วงเลยมาถึง 183 ปีแล้ว แต่อุปกรณ์ขี่ม้ายังคงเป็นหัวใจของแบรนด์ที่ส่งแรงบันดาลใจไปยังดีไซน์ต่างๆ ให้เราได้เห็นอยู่เสมอ ไม่เพียงแต่งานออกแบบของแบรนด์เท่านั้น แอร์เมสยังเป็นผู้สนับสนุนหลักการแข่งขันขี่ม้า Saut Hermès ที่จัดขึ้นในเดือนมีนาคมของทุกปี
ความน่าสนใจของโซต์แอร์เมสนี้ไม่ได้อยู่ที่ลีลาการกระโดดของม้าแข่งอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการออกแบบสนามแข่งด้วย Grand Palais จุดยุทธศาสตร์สำคัญของปารีสได้รับการแปลงโฉมให้เป็นลานประลองกระโดดม้า พื้นก่อด้วยทรายขาวละเอียดเต็มพื้นที่ อัฒจันทร์ขนาดใหญ่ล้อมโถงส่วนกลางทั้ง 4 ด้าน ด้านบนแขวนเสาต้นใหญ่ลอยเด่นอยู่กลางอากาศ ตรงกลางสนามเต็มไปด้วยเครื่องกีดขวางขนาดต่างๆ ที่ทำจากเสาตกแต่งลวดลายและสีสันซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ เห็นได้ชัดว่านาแดจสามารถเก็บรายละเอียดงานดีไซน์จากสนามแข่งม้ามาไว้บนรันเวย์ได้อย่างครบถ้วน ต่างก็เพียงการจัดวางเครื่องกีดขวางหลากสีจากแนวนอนเป็นแนวตั้ง ราวกับจะบอกเป็นนัยว่าบัดนี้เสาที่เคยเป็นสิ่งกีดขวางได้กลายเป็นเสาหลักศูนย์กลางของโชว์ไปแล้ว
นอกจากเสาแต้มสีคัลเลอร์บล็อกที่เป็นไฮไลต์ของโชว์แล้ว รายละเอียดของเสื้อผ้าแต่ละชิ้นที่ร้อยเรียงเป็นลุคต่างๆ ในคอลเล็กชั่นนี้ก็ดึงดูดผู้ชมจนไม่อาจจะละสายตา “ฉันต้องการนำเสนอแม่สีให้โดดเด่นเป็นพิเศษ ควบคู่ไปกับงานศิลปะซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากบุคคลสำคัญคือ Jean-Charles de Castelbajac นักออกแบบแฟชั่นแนวโมเดิร์นชื่อดังจากทศวรรษ 1980 ผลงานของเขาได้รับการยกย่องว่าจรรโลงโลกแฟชั่น เพราะหลอมรวมทั้งความลำลองและความเย้ายวนเข้าไว้ในหนึ่งเดียว” นาแดจกล่าวถึงอีกหนึ่งแรงบันดาลใจของคอลเล็กชั่น ด้วยเหตุนี้ เมื่อผสมไอเดียข้างต้นเข้ากับจิตวิญญาณของนักกีฬาขี่ม้าซึ่งเป็นรากฐานของแบรนด์แล้ว ผลลัพธ์ที่ได้คือชิ้นงานออกแบบหน้าตาแปลกใหม่ติดกลิ่นอายสปอร์ตเบาๆ
เสื้อผ้าฤดูหนาวเปิดตัวด้วยเทคนิคการจับคู่สี...แบบเดียวกับฉากหลัง โดยเริ่มที่สีขาวซึ่งเป็นสีหลักของเสาประดับฉากกับเทรนช์โค้ตตัวยาวตกแต่งซิปและหมุดกระดุมโลหะ ช่วงไหล่เล็กและโค้งมน จับคู่กับเสื้อคอตั้งสีแดงสะดุดตาตกแต่งเข็มขัดช่วงคอ แล้วไล่ลงมาเป็นกางเกงขากระบอกสีขาว รองเท้าหนังสไตล์ Double monk strap หรือเข็มขัดคู่ ดีไซเนอร์เลือกนำเสนอคอลเล็กชั่นช่วงแรกของเธออย่างชาญฉลาดโดยเริ่มจากขาวที่เป็นสีหลักก่อนแล้วจึงไล่ขึ้นไปหาแม่สี
WATCH
เสื้อโค้ตหนังสีอ่อนตัดเย็บด้วยมืออย่างประณีตหลอกสายตาผู้ชมได้ว่ามันคือผ้า ในขณะที่ลุคคลีนลุคโปรดของเราก็แฝงลูกเล่นไว้บนสเวตเตอร์ผ้านิตด้วยการประดับปกด้วยเข็มขัดกับตัวล็อกกระเป๋า (ซิกเนเจอร์ของแบรนด์ที่คนเห็นปุ๊บรู้ปั๊บ) แมตช์กับกระโปรงอัดกลีบพิมพ์ลวดลายเครื่องกีดขวางสไตล์เรขาคณิต และความง่ายในความยากที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้คือลุคเสื้อโปโลตัวยาวสวมทับเสื้อคอเต่ากับกระโปรงผ้าไหมในโทนสีสดใส แดง น้ำเงิน และเขียวเข้ม จากนั้นก็คั่นด้วยพาเหรดนางแบบในลุคสีดำที่มาพร้อมกับเทคนิคงานหนังบนชิ้นงานหลากรูปแบบ ทั้งแจ็กเกตหนังครึ่งท่อนวงแขนสวย สูทหนังป้ายหน้าตัดต่อแผ่นหนังอย่างประณีต และกระโปรงหนังตกแต่งด้านข้างเหมือนงานสาน
ช่วงกลางของคอลเล็กชั่นเป็นคู่สีคลาสสิกน้ำตาลอมส้ม แทรกด้วยลายตารางขนาดเล็ก โครงเสื้อเข้ารูปที่เห็นในช่วงแรกเริ่มคลายตัวแต่ดูทะมัดทะแมงขึ้น โชว์ปิดที่สีเหลืองซึ่งดีไซเนอร์สาวพยายามตอกย้ำรูปแบบโครงสร้างของเสื้ิอให้มีความต่อเนื่องกัน ประสานกับเทคนิคการตัดเย็บหนัง เมื่อมาถึงลุคฟินาเล่ก็ย้อนกลับไปที่เสื้อโค้ตเปิดตัวแต่เป็นสีนู้ดของหนังคุณภาพ ย้ำชัดๆ อีกครั้งในความเป็น “ผู้ดี”
รายละเอียดบนชิ้นงานทั้งหมดบ่งบอกถึงความเอาใจใส่ในงานฝีมือและเทคนิคการสร้างสรรค์ พร้อมๆ ไปกับการพัฒนาทักษะของช่างฝีมือในองค์กร สอดคล้องกับธีมประจำปีนี้ของแบรนด์คือ Innovation in the making ซึ่งกินความไปถึง “นวัตกรรมในการผลิต” และ “นวัตกรรมแห่งอนาคต”
“งานดีไซน์ไม่ใช่แค่สวย ต้องใช้งานได้จริงด้วย ดังนั้น อะไรที่ไม่สำคัญจะถูกตัดทิ้ง เหลือเพียงแก่นสารที่เอื้อต่อการใช้งานเท่านั้น...” นาแดจชี้แจงแนวทางการออกแบบของเธอ อันผสมผสานเทคนิคการตัดเย็บ การนำเสนอ องค์ประกอบ ฉาก แสง สี เสียง ตลอดจนประวัติศาสตร์ของแบรนด์และแรงบันดาลใจเข้าไว้ด้วยกันในคอลเล็กชั่นเดียว
1 / 4
2 / 4
3 / 4
4 / 4
เขียนโดย: ธรรมธัช ศรีวันทนียกุล และ สธน ตันตราภรณ์
WATCH