FASHION
ย้อนรอย Gianfranco Ferré ดีไซเนอร์แห่ง Dior ในยุคที่อาจถูกลืมเลือนมากที่สุดในประวัติศาสตร์เขาได้รับการขนานนามว่าเป็น “สถาปนิกแห่งวงการแฟชั่น” ซึ่งสะท้อนความโดดเด่นในการออกแบบโดยใช้องค์ความรู้สมัยเป็นนักศึกษาสถาปัตย์ |
Dior แบรนด์จากฝรั่งเศสที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน Christian Dior ผู้ก่อตั้งแบรนด์รังสรรค์เสื้อผ้าชั้นเยี่ยมและสร้างปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนแปลงวงการแฟชั่นไปตลอดกาล อย่างเช่น “New Look” เป็นต้น ดีไซเนอร์ที่มารับไม้ต่อทั้ง Yves Saint Laurent และ Marc Bohan ก็ล้วนแล้วแต่ฝากผลงานชั้นครูไว้มากมาย นั่นหมายความว่าใครก็แล้วแต่ที่สืบทอดตำนานห้องเสื้อแห่งนี้ต้องเป็นดีไซเนอร์ฝีมือระดับพระกาฬเท่านั้น ชื่อของ Gianfranco Ferré ปรากฏขึ้นมาในสารบบ และเขาก็สามารถสร้างสรรค์ชิ้นงานอันตราตรึง อีกทั้งยังรักษามาตรฐานความยอดเยี่ยมของเมซงแห่งนี้ได้อย่างหมดจด ทว่านี่เป็นยุคหนึ่งของแบรนด์ที่ถูกลืมเลือนมากที่สุด
Gianfranco Ferré ในวัยเด็ก ณ เมืองเลนญาโน่ ประเทศอิตาลี / ภาพ: Politecnico di Milano
จานฟรังโก้ เกิดและเติบโตที่เมืองเลนญาโน่ ประเทศอิตาลี ระหว่างช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 (เกิดเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 1944) เขาเข้ารับการศึกษาระดับพื้นฐานทั่วไปหลังจากประเทศอิตาลีค่อยๆ ฟื้นฟูจากสงคราม ช่วงเวลาดังกล่าวเด็กหนุ่มมากมายต่างมองหาเป้าหมายในชีวิตหลังจากคนทั่วโลกต้องเผชิญชะตากรรมอันโหดเหี้ยม ในปี 1963 เขาเริ่มศึกษาอย่างจริงจังในระดับมหาวิทยาลัย โดยมุ่งเป้าไปที่สาขาสถาปัตยกรรมศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยโพลีเทคนิคแห่งเมืองมิลาน ซึ่งที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ด้านฝีมือทางศิลปะของจานฟรังโก้อย่างปฏิเสธไม่ได้
ผลงานการออกแบบเสื้อผ้าโอตกูตูร์ของ Gianfranco Ferré ในปี 1987 / ภาพ: Politecnico di Milano
จุดเริ่มต้นบนเส้นทางแฟชั่นของบัณฑิตไฟแรงคนนี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ช่วงจบการศึกษา โดยดีไซเนอร์หนุ่มอิตาเลียนวัย 20 เศษๆ เริ่มต้นออกแบบเสื้อกันฝนและแอ็กเซสเซอรี่หนัง ก่อนจะก่อตั้งบริษัทของตัวเองในอีกไม่กี่ปีต่อมา และแล้วก็เริ่มปล่อยคอลเล็กชั่นเสื้อสตรีเต็มรูปแบบในปี 1978 ต่อด้วยคอลเล็กชั่นเสื้อผ้าบุรุษและคอลเล็กชั่นโอตกูตูร์ในปี 1982 และ 1986 ตามลำดับ ผลงานของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายของเส้นสาย แนวทางการสร้างศิลปะที่ได้รับอิทธิพลมาจากงานสถาปัตยกรรม เขาเอ่ยถึงชื่อมหาวิทยาลัยของเขาอยู่บ่อยครั้ง มากไปกว่านั้นยังให้เครดิตว่าผลงานการออกแบบส่วนใหญ่มักมีการใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาหลายปีสอดแทรกเข้าไปจนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
WATCH
ความละเมียดละไมในการใช้ความโค้งเว้าในการออกแบบเสื้อผ้าที่สะท้อนออกมาบนรันเวย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ / ภาพ: Politecnico di Milano
ตรรกะ วิธีการ การออกแบบ และการทดลอง คือกุญแจสำคัญของจานฟรังโก้มาตั้งแต่ต้น เขาซึมซับกลิ่นอายศิลปะและแฟชั่นจากยุค ‘60s มาอย่างเต็มเปี่ยม พร้อมทั้งพาตัวเองท่องไปในโลกของงานฝีมือ และแล้วก็ออกแบบชิ้นงานทุกชิ้นด้วยความประณีตสอดประสานไปกับความสร้างสรรค์และกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบในรูปแบบของสถาปนิก นอกจากเสื้อผ้าแล้วจานฟรังโก้ยังนำเสนอแอ็กเซสเซอรี่ชิ้นเด่นมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเข็มขัดและไอเท็มเครื่องหนังหลายรูปแบบ เขาผลิตผลงานชิ้นจำนวนนับไม่ถ้วน และฝีมือการออกแบบเสื้อผ้าคอลเล็กชั่น Alta Moda (เปรียบดั่งโอตกูตูร์) ก็เข้าตาดิออร์ และแล้วในปี 1989 เขาก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ นำทัพแบรนด์ดังของฝรั่งเศสให้โลดแล่นต่อจาก มาร์ก โบฮาน
ผลงานการออกแบบคอลเล็กชั่นโอตกูตูร์ ประจำฤดูใบไม้ร่วง/ฤดูหนาว 1989 ของ Gianfranco Ferré ณ Dior ที่ทำให้เขารับรางวัลใหญ่ประจำปี / ภาพ: Artofit
เพียงคอลเล็กชั่นแรกก็คว้ารางวัลใหญ่แห่งวงการแฟชั่น! จานฟรังโก้รับตำแหน่งเพียงไม่กี่เดือนก็ได้รับมอบหมายให้ออกแบบคอลเล็กชั่นโอตกูตูร์ในช่วงเดือนกรกฎาคม 1989 ด้วยผลงานอันโดดเด่นจากคอลเล็กชั่นนี้ เขาจึงได้รับรางวัล “Dé d’Or” หรือรางวัลดีไซเนอร์แห่งปีของประเทศอิตาลีไปครองได้สำเร็จ แนวคิดสำคัญที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จกับการออกแบบคอลเล็กชั่นแรกของดิออร์คือ “Luxury and Femininity, Severity and Sophistication” ซึ่งทั้ง 4 คำถูกตีความและถ่ายทอดผสมผสานลงบนเสื้อผ้าได้อย่างน่าตื่นเต้น
วิธีการใช้รายละเอียดบนเสื้อผ้าระดับโอตกูตูร์ในการสร้างแสงและเงาที่แตกต่างกันของ Gianfranco Ferré ในโชว์ Dior คอลเล็กชั่นโอตกูตูร์ ฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน 1994 / ภาพ: Politecnico di Milano
LVMH เปิดประตูแห่งโอกาสในการทดลอง ตั้งแต่เริ่มเข้ามาจานฟรังโก้ได้สัญญาณไฟเขียวให้รังสรรค์ผลงานตามแบบฉบับของตัวเองอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคอลเล็กชั่นโอตกูตูร์ที่เขามักนำความซับซ้อนขององค์ความรู้วิชาสถาปัตย์ มาสอดแทรกลงในแฟชั่น เส้นสายอันชัดเจนบ่งบอกตัวตนอันแตกต่าง จนเขาได้รับการขนานนามว่าเป็น “สถาปนิกแห่งวงการแฟชั่น” ซึ่งสิ่งที่ทำให้เสื้อผ้าของเขาโดดเด่นยิ่งกว่ารายละเอียดแสนประณีต คือการสร้างจุดตกกระทบของแสง จนทำให้ชุดเกิดมิติของแสงและเงาที่ซับซ้อนราวกับบ้านหลังหรูที่เผยโฉมความงามต่างรูปแบบกันไปตามทิศทางของดวงอาทิตย์อย่างไรอย่างนั้น
การวาดภาพสเกตช์คือกุญแจสำคัญของ Gianfranco Ferré ที่ยากจะหาใครที่มีฝีมือทัดเทียม / ภาพ: Irenebrination
วิธีการทำงานของเขาแบ่งเป็น 3 ขั้นตอนคือ การวาด การเลือกสรรวัสดุ และการลงสี เขาดำเนินการวาดจินตนาการให้เกิดเป็นรูปร่าง ก่อนจะคัดสรรสิ่งที่เหมาะสมที่ทำให้เกิดมิติรูปแบบต่างๆ ปิดท้ายด้วยการลงสีที่ทำให้เสื้อผ้าสมบูรณ์แบบ เราจะเห็นว่าผลงานการออกแบบของเขา ยิ่งในช่วงการรับตำแหน่งที่ดิออร์โดดเด่นมากเสียจนทำให้เรารู้สึกถึงความแตกต่างของเสื้อสีขาวแต่ละเฉด มิติของเนื้อผ้าที่ซับซ้อน ย้อนกลับไปถึงรูปแบบการวาดภาพที่สะท้อนจินตนาการอันล้ำลึก ซึ่งทั้งหมดสามารถทำได้จริงและกลายเป็นผลลัพธ์อยู่บนร่างกายนางแบบที่อวดโฉมความงดงามบนรันเวย์
Dior คอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน 1995 ซึ่งเป็นช่วงท้ายๆ ในยุคของ Gianfranco Ferré / ภาพ: @muglerize
“รู้จักการฝันอย่างมีเหตุผล” นี่คือคำนิยามที่จานฟรังโก้พูดถึงการออกแบบเสื้อผ้าแฟชั่น เขาหยิบจับสิ่งต่างๆ ด้วยการผสมผสานระหว่างอารมณ์และเหตุผล ความสร้างสรรค์ตกตะกอนและเชื่อมสัมพันธ์กับหลักการในการลงมือทำ ดังนั้นเสื้อผ้าของเขาจึงเต็มไปด้วยการถ่ายทอดอารมณ์อันลึกซึ้ง ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยเทคนิควิธีการที่ยากจะหาใครทัดเทียม คำกล่าวที่ว่า “เสื้อผ้าบอกเล่าเรื่องราว” นั้นเป็นจริงเสมอบนรากฐานแนวคิดของจานฟรังโก้ น่าเสียดายที่ยุคสมัยในดิออร์ของเขาจบลงด้วยระยะเวลาเพียง 7 ปีเท่านั้น (1989 – 1996) หลังจากนั้น John Galliano ก็มารับไม้ต่อ จานฟรังโก้ยังคงเดินหน้าบนเส้นทางสายแฟชั่นด้วยการออกแบบเสื้อผ้า รวมถึงของตกแต่งบ้านภายใต้ชื่อแบรนด์ตัวเองจนถึงวันที่ 17 มิถุนายน 2007 ในวันนั้นเขาเสียชีวิตด้วยสาเหตุภาวะเลือดออกในสมอง วันนี้ครบรอบการจากไป 18 ปี โว้กขอร่วมรำลึกดีไซเนอร์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในดีไซเนอร์ชั้นครูของดิออร์ที่อาจถูกลืมมากที่สุด “จานฟรังโก้ แฟร์เร”
ข้อมูล:
Gianfranco Ferré Research Center, Politecnico di Milano
WATCH