FASHION

เจาะลึกเพลงในโชว์ Burberry Winter 2024 กับเพลย์ลิสต์ของ Amy Winehouse ที่เปี่ยมด้วยความหมาย

Daniel Lee ใช้ธีมหลักของความเป็นอังกฤษโดยแท้ ตั้งแต่แฟชั่นบนรันเวย์ นางแบบ และศิลปินอย่าง Amy Winehouse พร้อมบ่งบอกถึงการเล่าเรื่องราวผ่านแฟชั่นโชว์อย่างมีเสน่ห์

     การจัดโชว์ Burberry คอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ร่วง/ฤดูหนาว 2024 โดย Daniel Lee ชวนให้นึกถึงกลิ่นอายของแบรนด์ฉบับดั้งเดิม พร้อมเสริมเติมแต่งความทันสมัยและสอดแทรกลายเซ็นของแดเนียลเรื่องซิลูเอต รวมถึงการใช้สีสันในบางจังหวะ อีกทั้งยังรวมถึงรายละเอียดการตัดเย็บที่สร้างรูปทรงและความแปลกใหม่ได้อย่างลื่นไหล ครั้งนี้แดเนียลเหมือนกำลังพาทุกคนสัมผัสบรรยากาศแฟชั่นของกรุงลอนดอน หรือแฟชั่นดั้งเดิมของผู้คนในเกาะอังกฤษโดยแท้ องค์ประกอบหลายอย่างกำลังย้อนสู่รากฐานความยิ่งใหญ่ของแบรนด์ขึ้นหิ้งประวัติศาสตร์แห่งเกาะอังกฤษ

     ปัจจุบันการจัดโชว์เต็มไปด้วยรายละเอียดที่สามารถตัดสินความยอดเยี่ยมของโชว์ได้เลย เพลงก็เป็นส่วนสำคัญที่จะขับอารมณ์ความรู้สึกของผู้ชมและบอกเล่าเรื่องราวในแบบที่อยากให้เป็น สำหรับโชว์เบอร์เบอรี่คอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ร่วง/ฤดูหนาว 2024 ก็สร้างความประทับใจด้วยบทเพลงเช่นกัน เพราะแบรนด์เลือกใช้เพลงดังของศิลปินอังกฤษผู้ล่วงลับอย่าง Amy Winehouse ซึ่งเธอฝากผลงานระดับตำนานไว้มากมาย ทั้งนี้ทั้งนั้นเพลงแทบจะเป็นไฮไลต์ที่ได้รับการพูดถึงอย่างต่อเนื่อง เพราะนอกจากการสร้างบรรยากาศด้วยท่วงทำนอง ยังสามารถขับความล้ำลึกผ่านเนื้อหา และสะท้อนภาพความเป็นอังกฤษได้ในเวลาเดียวกัน

     ประเด็นหลักของการเลือกใช้เพลงเอมี่คือการสร้างทุกองค์ประกอบของโชว์ให้เคล้าไปด้วยความรู้สึกเป็น ‘อังกฤษ’ ขนานแท้ เปิดโชว์ด้วยเพลง ‘You Know I’m No Good’  ซึ่งด้วยจังหวะดนตรีเปิดแสงสว่างท่ามกลางแสงสปอตไลต์สร้างความน่าตื่นเต้นเร้าอารมณ์ด้วยเสียงขับร้องของเอมี่ เพลงที่เคยถูกบันทึกเป็นเพลงโซโล่นอกอัลบั้ม สะท้อนเรื่องราวการทรยศคนรักและความรู้สึกข้างใน ทุกอย่างเต็มไปด้วยความจริงใจ รู้ตัวว่าตนไม่ได้ดีวิเศษ เรื่องนี้หากตัดความยอดเยี่ยมของทำนองเพลงออกไป เพลงในโชว์นี้ยังสื่อความหมายได้ถึงแดเนียลที่เคยนำเสนอเบอร์เบอรี่ในรูปแบบที่แตกต่างจนน่าตกใจกับเซ็ตเสื้อผ้าฤดูร้อน มันอาจเป็นกลไกที่ผิดพลาด แต่เขาก็น้อมรับและชี้ให้เห็นแสงสว่างสำหรับไลน์แฟชั่นของแบรนด์เช่นเดียวกับเพลงประกอบโชว์เพลงแรก

     ‘In My Bed’ (CJ MIX) คือเพลงสลับต่อเนื่องเป็นช่วงที่ 2 ของโชว์ โดยเวอร์ชั่นมิกซ์พิเศษนี้เน้นย้ำเสียงของเอมี่จนขับเคี่ยวอารมณ์ผู้ฟังให้รู้สึกดำลึกไปถึงดนตรีโดยแท้จริง จังหวะของเพลงมีความสอดคล้องกับเพลงเปิดโชว์ อีกทั้งยังมีสถานะเป็นเพลงในอัลบั้มเปิดตัว ‘Frank’ เมื่อปี 2003 เพลงนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับย้อนรำลึกถึงอดีต สำรวจชีวิตในมิติของความรู้สึกที่เข้าถึงมนุษย์ การลึกลงรายละเอียดอาจไม่ได้สอดคล้องกับโชว์ แต่จังหวะทำนองและการเปรียบเปรยด้วยชั้นเชิงความคิดแบบภาพมุมกว้างสามารถสะท้อนการเจาะลึกถึงความสลับซับซ้อนทางความคิด ซึ่งมันเล่นกับดนตรีและรูปแบบการโชว์ที่ทำให้ทุกคนสัมผัสประสบการณ์ในอดีตของชีวิตเฉกเช่นการย้อนความหลังสู่เบอร์เบอรี่ในยุคที่ทุกคนเคยสัมผัส

     อีกหนึ่งเพลงที่ทำให้โชว์นี้พุ่งสู่ระดับความยอดเยี่ยมของผลงานในอัลบั้ม ‘Frank’ ต่อเนื่องจากเพลง ‘In My Bed’ โดยเพลงนี้คือ ‘Half Time’ อีกหนึ่งงานมาสเตอร์พีซที่หลายคนอาจหลงลืมไปบ้างตามกาลเวลา เนื้อหาพูดถึงการพักเบรกเพื่อคิดทบทวนสู่สิ่งใหม่ๆ ด้วยมุมมองใหม่ๆ การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในทิศทางที่ดีขึ้น รวมถึงสภาพแวดล้อมที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนความคิดนี้ไม่ได้หมายถึงการล้างตัวตนเดิมออก แต่หมายถึงการพัฒนาเพื่อเปลี่ยนภาพให้สดใหม่ยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับแฟชั่นของแดเนียล เขาหยิบยกอัตลักษณ์แบบดั้งเดิมของเบอร์เบอรี่มาเล่าใหม่ด้วยมุมมองที่ต่างออกไปจากเดิม แต่ยังให้ความสำคัญกับธีมความเป็นอังกฤษอย่างเต็มที่ แฟชั่นที่สอดประสานไปกับรูปแบบสภาพอากาศและความงดงามของรากฐานทางวัฒนธรรมคือจุดพัฒนาที่ผ่านการไตร่ตรองจากช่วงพักครึ่งเวลาดั่งชื่อเพลง

     ปิดท้ายโชว์ด้วยสุดยอดเพลงระดับตำนาน ‘Back to Black’ เพลงนี้คือเพลงที่ขึ้นชาร์ตระดับท็อปของอังกฤษและขายดีที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของเอมี่ เพลงนี้เป็นเหมือนผลงานฟินาเล่ปิดท้ายโชว์ ทุกคนเข้าถึงเพลงนี้และสัมผัสถึงความเข้มข้นของห้วงอารมณ์ได้อย่างชัดเจน เพลงนี้สะท้อนความแข็งแกร่งของตัวตนเอมี่ ในขณะเดียวกันด้วยจังหวะทำนองที่เข้ากันมันก็สามารถสะท้อนความแข็งแกร่งของเบอร์เบอรี่และแดเนียลด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังมีเนื้อหาที่บ่งบอกถึงจุดหมายปลายทางที่กำลังจะจบลงเหมือนเป็นเพลงสำหรับช่วงท้ายโดยเฉพาะ นอกจากนี้รูปแบบวิธีการนำเพลงนี้มาใช้ยังสามารถดึงดูดผู้ชมจากทั่วโลกหรือสร้างความคุ้นเคยของแบรนด์ผ่านบทเพลง เพราะเพลงนี้คือเพลงดังระดับตำนานที่คนหลายรุ่นเคยฟัง หรือแม้แต่กระแสบนแพลตฟอร์มยอดฮิตของเหล่า Gen Z อย่าง TikTok ก็เคยมีเพลงนี้เป็นเพลงฮิต ดังนั้นมันทำหน้าที่เป็นดั่งเพลงแห่งโมเมนต์จบบริบูรณ์ของโชว์และสร้างจุดเริ่มต้นแห่งการแผ่ขยายอิทธิพลอย่างต่อเนื่อง คงเหมือนกับแฟชั่นโชว์ครั้งนี้ที่กำลังจะจบลงแต่กำลังจะพุ่งทะยานสู่ตลาดแฟชั่นในอนาคต และทั้งหมดคือแนวทางการเลือกใช้เพลงเอมี่ของเบอร์เบอรี่ในโชว์นี้ เบื้องหน้าอาจเพราะเธอคือดาวค้างฟ้าแห่งวงการดนตรีอังกฤษ แต่อีกแง่หนึ่งบทเพลงของเธอก็สามารถตีความและโน้มน้าวผู้ชมผู้ฟังให้เข้าถึงความลงตัวของแฟชั่นโชว์ครั้งนี้อย่างเต็มที่จริงๆ

 

เขียน: นาทนาม ไวยหงษ์
ค้นหาและจัดเรียงข้อมูล: ปัณณ์ งามเบญจวงศ์

WATCH

TAGS : Burberry