FASHION
ล้วงแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ หนัง และ เพลง ของเหล่า 14 ดีไซเนอร์ชั้นนำของโลก14 ดีไซเนอร์กับ 14 แรงบันดาลจากศิลปะความบันเทิง |
คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่าอะไรที่เป็นแรงบันดาลใจให้ Alessandro Michele สร้างแฟชั่นโชว์ที่มีเรื่องราวให้กับ Gucci เพลงไหนบ้างที่เป็นซาวน์แทรกให้กับงานออกแบบในระยะแรกของ Donatella Versace ตั้งแต่เรื่องราวอัลบั้มของ Paul McCartney ที่ใกล้ชิดหัวใจของ Stella McCartney ไปจนถึงหนังสือที่ Rick Owens นอนอ่านบนโซฟาเดย์เบดสีขาวสะอาด นักออกแบบแถวหน้าของโลก 38 คนจะมาร่วมแบ่งปันหนังสือนิยาย อัลบั้ม และ ภาพยนตร์ที่เป็นเชื้อเพลิงให้การปล่อยของสร้างสรรค์ผลงาน รวมไปถึงอิทธิพลที่ปั้นให้พวกเขาเป็นพวกเขาทุกวันนี้ในพื้นที่แห่งนี้ เชิญมาร่วมอ่าน ชม และ รับฟังได้ในคอนเทนต์นี้
บทสัมภาษณ์โดย Liam Freeman และ Julia Hobbs.
Courtney Love ศิลปินผู้เป็นแรงบันดาลใจของ Donnatella Versace / ภาพ: Getty Images
Donatella Versace กล่าวถึงอิทธิพลกรันจ์ที่เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของวัฒนธรรมป๊อปไปตลอด
“ฉันโชคดีที่รอบตัวฉันมีแต่ศิลปิน นักดนตรี นักเขียน ช่างภาพ ผู้คนที่สร้างประวัติศาสตร์ด้วยผลงานของพวกเขา และสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้ฉันได้มองโลกนี้จากมุมต่างๆ Kurt Cobain สอนให้เรามองเข้าไปในจิตวิญญาณ ให้แสดงออกความรู้สึกออกมาด้วยวิธีที่แตกต่างผ่านเนื้อร้องในเพลงของเขา เขาแสดงให้เราเห็นพลังของการแสดงออกถึงความอ่อนแอ
“ตอนที่ Courtney Love ออกเพลง Celebrity Skin (ในปี 1998 หลัง Cobain ฆ่าตัวตายได้ 4 ปี) ในเพลงนั้นเธอบอกกับโลกว่าความสมบูรณ์แบบเป็นเพียงมายา เธอปรากฏตัวพร้อมเมกอัพที่ไหลเกรอะในชุดเดรสหลวมสีขาว เธอดูดุร้าย ยุ่งเหยิง กระเซอะกระเซิง นี่ก็เป็นอีกจุดนึงที่ทำให้ฉันสั่นคลอน ไม่ใช่ด้วยเรื่องความสวยงาม แต่เพราะสิ่งที่เราเห็นอยู่เป็นสัญลักษณ์แห่งรูปแบบความคิดใหม่ ”
Alessandro Michele ผู้อำนวยการสร้างสรรค์ของ Gucci กล่าวถึงบทเสภาแห่งชีวิตและความรักอย่างภาพยนตร์เรื่อง Mamma Roma
“ยากมากที่จะให้ผมเลือกหนังสือเล่มเดียว เพลงๆ เดียว กลอนบทเดียว หรือหนังแค่เรื่องเดียว เพราะบุคลิกของผม ภาษาของผม และวิธีการแสดงออกของผมถูกหล่อหลอมมาจากหลายๆ อย่าง แต่มีหนังอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมเคยดูตอนอายุประมาณ 10 ขวบ บ่ายวันหนึ่งในฤดูร้อน เรื่อง Mamma Roma โดย Pier Paolo Pasolini (1962) แล้วมันก็กลายเป็นเหมือนจุดสำคัญในการเติบโตจนผมเป็นผมทุกวันนี้”
“เพราะหนังเรื่องนี้ทำให้ผมเข้าใจว่าสองสิ่งที่ตรงข้ามกันสามารถจะหลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างไร และเข้าใจถึงพลังในการเล่าเรื่องด้วยภาพที่เรียบง่าย ตรงๆ แต่เฉียบคม Mamma Roma เป็นเหมือนบทกวี เป็นเสภาที่ขับกล่อมถึงชีวิตและความรัก ความรักที่แม่มีต่อลูกชาย และลูกชายที่ไม่แน่ใจว่าตัวเองรักแม่ เปาโลเล่าเรื่องความรักนี้ผ่านบทกวี และภาพที่รุนแรงมาก ผมจำหนึ่งในฉากท้ายๆ เรื่องได้แม่นยำเพราะมันทำให้ผมประทับใจมาก ภาพลูกชายที่ถูกมัดและตรึงไว้กับโต๊ะมันกระเทือนจิตใจมาก และเตือนให้ผมนึกถึงภาพ Il Cristo Morto (The Lamentation of Christ) โดย Andrea Mantegna”
Ettore Garofolo และ Anna Magnani ในภาพยนตร์เรื่อง Mamma Roma / ภาพ: Everett Collection
Christopher John Rogers กล่าวถึงการสร้างความฝันให้เป็นจริงด้วย Trance Party, Volume One
“นี่เป็นหนึ่งในอัลบั้มที่หล่อหลอมให้ผมเป็นตัวผมในวันนี้มากที่สุด ตอนสมัยเด็กลุงให้ผมมากับเครื่องเล่นซีดี มันทำให้ผมนึกถึงห้องนอนวัยเด็กที่เมืองบาตอนรูจ รัฐลุยเซียนาที่ๆ ผมเคยวาดฝันไว้ถึงความเป็นไปได้นอกขอบเขตของความคุ้นเคย และวิธีการที่ผมจะทำตามความฝันนั้นได้ ก่อนหน้านั้นสิ่งที่ผมเคยฟังอยู่มี่แค่ดนตรีแนว อาร์แอนด์บี โซล และ ป๊อปพวก ท็อป 40 ที่คนเขานิยมกัน อัลบั้ม Trance Party, Volume One (2001) เป็นเส้นทางให้ผมเข้าถึงดนตรีเฮาส์ของชาวผิวสีและกลุ่มเควียร์ศิลปินอาร์แอนด์บีที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักนัก และซินท์ป๊อปสัญชาติยุโรป ซึ่งเป็นซาวน์ที่ประกอบกันเป็นห้องสมุดเพลงของผมจนถึงทุกวันนี้”
WATCH
“Bridge Over Troubled Water” ผลงานชิ้นดังของ Simon & Garfunkel / ภาพ: Rene van den Berg
Tommy Hilfiger กล่าวถึงครั้งแรกที่ค้นพบ Simon & Garfunkel
“ตอนสมัยเป็นวัยรุ่นผมซื้ออัลบั้ม Bridge Over Troubled Water โดย Simon & Garfunkel (1970) หลังจากที่ผมซื้อ turntable อันแรกมา อัลบั้มนี้มันไม่ได้เพียงพาความทรงจำเรื่องรสชาติของเสรีภาพที่ผมได้ลิ้มลองเป็นครั้งแรกกลับมาเท่านั้น แต่มันก็นำพาความทรงจำเกี่ยวกับความวุ่นวายทางสังคมและเศรษฐกิจที่อเมริกาในยุคนั้น คือชื่อมันก็บอกทุกอย่างเลยนะครับ มันเป็นดนตรีที่สงบสำหรับปลอบโยนวิญญาณ ผมมักจะกลับมาหามันตอนที่ผมต้องการความสงบหรือต้องการคิดไตร่ตอง ผมวังว่าคนอื่นๆ จะหาความสบายใจจากมันได้เช่นเดียวกับผม เพลงที่ชื่อเดียวกับอัลบั้ม Bridge Over Troubled Water กล่าวถึงการอยู่เป็นกำลังใจให้ใครสักคนโดยไร้ข้อแม้ ผมคิดว่าสารที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะในเวลานี้ คือพวกเราต้องทำทุกวิถีทางที่จะปกป้องและสนับสนุนกันและกัน”
Stella McCartney กล่าวถึงอัลบั้ม Ram ซึ่งอยู่เคียงใกล้หัวใจของเธอ
“ฉันคงบ้าไปแล้วถ้าจะไม่บอกว่าพ่อฉันและวง The Beatles มีผลกับฉันอย่างมหาศาลแค่ไหน การที่ฉันฟังสิ่งที่พ่อสร้างสรรค์มาตลอดชีวิต ตั้งแต่ก่อนจะเกิดมา ฟังตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ คงเป็นสิ่งที่ปั้นให้ฉันเป็นคนที่ฉันเป็นในหลากหลายด้านกว่าที่ฉันจะรับรู้ได้ Ram (1971) อัลบั้มที่พ่อทำกับแม่ในปี 1970 คงเป็นอัลบั้มที่ฉันชอบที่สุด ฉันวางไว้ใกล้ชิดหัวใจมาก ตอนที่พวกเขาสร้างมันฉันยังเด็กมากๆ ตอนนั้นเราอยู่กันที่สกอตแลนด์ เราแยกตัวออกจากผู้คน เราเลยสนิทกันมาก เราปกป้องกันและกัน ครอบครัวของเราเต็มไปด้วยความรัก อาหาร และ ความคิดสร้างสรรค์ ฉันรักความดิบของอัลบั้มนี้ ฉันรักที่พ่อกับแม่แต่งเพลงเอง เล่นเครื่องดนตรีทุกอย่างเอง และสรรสร้างมันขึ้นเองอีกด้วย มันถือว่าเป็นสิ่งยืนยันความรักของพวกท่านทั้งสองคนได้อย่างดีเลยค่ะ”
RAM ผลของคุณพ่อ Paul ที่ Stella McCartney ชื่นชอบ / ภาพ: Alamy
Molly Goddard กล่าวถึงความสนุกของการดู Austin Powers
“ในความคิดของฉันไม่มีอะไรจะตลกไปกว่า Austin Powers: The Spy Who Shagged Me (1999) แล้ว พอพูดถึงก็นึกไปถึงตอนที่หัวเราะร่วนกับ Alice นองสาวของฉัน เป็นหนังที่ดูแล้วดูอีกได้ แล้วก็ดูแล้วดูอีกจริงๆ เสื้อผ้าในนั้นสวยมาก Heather Graham หรือว่า Felicity Shagwell ในเรื่องนั้นสวมชุดโครเชต์สีชมพูและส้ม คิวบู๊ก็ดี แถมเพลงก็ดีมากต้องชื่นชมไปถึง Elvis Costello และ Burt Bacharach เวลารู้สึกไม่ค่อยดีนี่เป็นหนังที่ฉันจะเปิดดูเสมอ การพูดบทที่ฉันจำได้ขึ้นใจทำให้ฉันหัวเราะได้ตลอดไม่เคยเปลี่ยนแปลง ถ้ายังไม่เคยดูหนังเรื่องนี้ก็เหมือนคุณยังไม่ได้ใช้ชีวิต!”
Kenneth Ize กล่าวถึงชีวิตชีวาในทัศนศิลป์แห่งหว่องกาไว
“ณ ตอนนี้้ผมชอบดูหนังของหว่องกาไวมาก เรื่องที่ผมชอบมีเรื่อง Days of Being Wild (1990) Happy Together (1997) In the Mood for Love (2000), 2046 (2004) และ My Blueberry Nights (2007) หนังของเขาช่วยให้ผมเข้าใจการสร้างสรรค์ และความหลงใหลในการแสดงออกถึงรายละเอียดเล็กๆ ทุกอย่างในความคิดของนักสุนทรียศาสตร์”
Madonna กับแฟชั่นไอเท็มชิ้นไอคอนิกอย่างบราทรงกรวย / ภาพ: Eugene Adebari
Jeremy Scott กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่าง Madonna: Truth or Dare และความรู้สึกของการเป็นที่ยอมรับ
“ผมเติบโตในเมืองขนาดเล็กและไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับเท่าไหร่เพราะผมเป็นเกย์และรักแฟชั่น ตอนนั้นการได้เห็นว่าศิลปินดาวเด่นระดับโลกอย่าง Madonna ให้การสนับสนุนชาวเกย์ทำให้ผมรู้สึกว่ามีคนมองผมเห็น มีคนเข้าใจผม ผมมีความสำคัญ และการกีดกันและแบ่งแยกทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นแค่เศษผงในโลกใบที่ใหญ่กว่านี้ซึ่งผมยังเห็นไม่หมด ก่อนที่พวกเราจะมีศิลปินที่เป็นพันธมิตรกับพวกเรา พวกเรามีแค่มาดอนน่าเท่านั้น เธอสวยสง่า มีพรสวรรค์ ร้อนแรง เธอสวมใส่เสื้อผ้าที่เท่ที่สุด และเธอรักเกย์! สารคดี Madonna: Truth or Dare (1991) เป็นโอกาสหนึ่งที่ได้แอบมองเบื้องหลังชีวิตเธอ และมันทำให้ผมมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น นอกเหนือจากเรื่องความรู้สึกที่ผมมีต่อสารคดีนี้ ผมว่ามันเป็นงานศิลปะที่สวยงามเกี่ยวกับศิลปินผู้เลอเลิศที่กำลังอยู่ในที่ๆสูงที่สุด กลางดวงตาของพายุที่ชื่อว่าป๊อปคัลเจอร์! แถมยังมีการปรากฏตัวของคนดังคนอื่นๆ อีกด้วย เช่น Jean Paul Gaultier และเสื้อผ้าที่เขาทำให้เธอใส่ขึ้นทัวร์คอนเสิร์ต รวมไปถึงรองเท้าสนสูง Fluevog platform ในตำนานด้วย เป็นภาพวาดที่อลังการของแฟชั่นชั้นสูงตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของปี 1990s.”
Rick Owens กล่าวถึงเทคนิคการทำสวนใน “delicious” ของ Beverley Nichols
“Beverley Nichols คือนักเขียนที่ผมหันหาเวลาอยากอ่านหนังสือสบายๆ เขาคือผู้เชี่ยวชาญด้านการทำสวนเหมือนที่ MFK Fisher เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทำอาหาร ในช่วงปี 1930 เบเวอร์ลี่เขียนหนังสือทำสวนกลุ่มหนึ่งขึ้นมาที่ใช้กิจวัตรประจำวันของทุกวันเป็นจุดเริ่มต้นในการใช้ชีวิต มีความดีดแกมร่าเริงอยู่ในหนังสือของเบเวอร์ลี่ด้วยความที่เขาเป็นเกย์ที่แอบอยู่ในช่วงปี 1920 ผู้อ่านจะรู้สึกได้ถึงความวุ่นวายใจแต่ยังควบคุมได้อยู่ และถึงแม้ว่าเขามีความอ่อนไหวที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์ แต่ในขณะเดียวกันก็มีรสนิยมที่หรูหราอย่างร้ายกาจที่ทำให้เราตื่นตัวเป็นพักๆ ส่วนใหญ่อารมณ์ที่ได้จะเป็นความอ่อนโยน มีเสน่ห์อย่างรู้ตัว และมีความลึกที่มาเซอร์ไพรส์เรื่อยๆ ทำให้ผมรู้สึกได้รับการปลอบประโลม สงบ และมีสติ”
Beverley Nichols กับฝีมือการจัดสวน / ภาพ: Shutterstock
Isabel Marant กล่าวถึงการหลีกหนีของ Salman Rushdie
“ความฉลาดแต่เบาบางในการที่ Salman Rushdie พูดถึงข้อเสียในสังคมกระทบจิตใจของฉันมาก เช่นเดียวกับหลายๆ คน ฉันได้ยินชื่อของเขาครั้งแรกตอนที่เรื่อง The Satanic Verses (1988) ได้รับการตีพิมพ์ แต่ตอนนั้นเล่มนี้ไม่ได้ดึงดูดฉันสักเท่าไหร่นัก ตอนที่ฉันไปอินเดียฉันเจอกับเรื่อง Midnight’s Children (1981) ซึ่งเป็นมหากาพย์เกี่ยวกับครอบครัวหนึ่งที่เล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ของอินเดียกินเวลาถึง 30 ปี เล่าโดยนัย ใช้สัญญะ และแฝงคติมาอย่างตลกโปกฮา ความเฉียบแหลมและความเห็นอกเห็นใจที่เขาใช้ในการกล่าวถึงและวิจารณ์เหตุการณ์สำคัญต่างๆ ในประวัติศาสตร์อินเดียมันทำให้อ่อนไหวมาก หนังสือเล่มนี้ทำให้ฉันนึกถึง One Hundred Years of Solitude (1967) ของ Gabriel García Márquez ซึ่งเป็นอีกเล่มที่ฉันรัก ฉันชอบความสัจนิยมมหัศจรรย์ในงานเขียนของเขา”
Jonathan Anderson กล่าวถึงนวนิยายของ Bret Easton Ellis ที่เขาวางไม่ลง
“ตอนเด็กๆ ผมหลงใหลตัวละครในเรื่อง Less Than Zero โดย Bret Easton Ellis (1985) มันเป็นบทสรุปของช่วงเวลาที่น่าสนใจ เหมือนแคปซูลเวลาที่บรรจุวัยเด็กของผมไว้ ผมซื้อหนังสือเล่มนี้ในสนามบิน และมันเป็นหนังสือเล่มเดียวที่ผมอ่านจบได้ในวันเดียว มันทำให้ผมหวนนึกถึงช่วงเวลาที่ผมกำลังจะออกไปเผชิญโลกด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก”
ผู้อำนวยการสร้างสรรค์ของ Dior ฝั่งเสื้อผ้าบุรุษอย่าง Kim Jones กล่าวถึง Kate Bush และความหาญกล้าใน Paris is Burning
“ผมชอบอะไรมากมายกว่าที่จะเลือกมาแค่อย่างเดียวได้ แต่อัลบั้มนึงที่ผมรักมากมาตลอดคือ Hounds of Love ของ Kate Bush (1985) และหนึ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมเรื่องของความกล้าหาญของทุกคนในนั้นก็คือสารคดี Paris is Burning (1990) โดย Jennie Livingston หนังสือเล่มที่ผมกลับไปอ่านเสมอและตอนนี้ก็ทำลังอ่านอยู่ก็คือ Orlando ของ Virginia Woolf (1928) ตอนผมเป็นวัยรุ่นผมเจอกลุ่ม Bloomsbury แล้วผมรักความที่พวกเขามีความสามารถหลากหลาย เป็นการรวมตัวกันของความหัวก้าวหน้าแบบยุคโมเดิร์นเพื่อให้สังคมเดินไปข้างหน้า”
ผลงาน Picnic at Hanging Rock ของ Peter Weir / ภาพ: David Kynoch/Picnic/Bef/Aust Film Commission/Kobal/Shutterstock
Erdem Moralıoğlu กล่าวถึงความงามอันเบาหวิวแห่ง Picnic at Hanging Rock ของ Peter Weir
“หนังที่มีผลกับผมยาวนานที่สุดคือเรื่อง Picnic at Hanging Rock (1975) ซึ่งสร้างจากนิยายลี้ลับของ Joan Lindsay มันทำให้ ผมหลงไหลมันมาตลอดเลยล่ะครับ… ภาพสาวงามหน้าขาวซีดเผือดแห่งยุควิตอเรียนค่อยๆ รุ่ยร่วงลง ผมชอบความมืดมนของมัน มันเหมือนเป็นความฝันที่สวยงามแต่แปลกประหลาด ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไรพลังของมันก็ยังมีเท่าเดิมไม่เสื่อมคลายเลย ผมกลับไปดูเรื่อยๆ มันไม่เคยหยุดที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้ผมเลย ทั้งมหัศจรรย์และน่าพิศวง”
Maria Grazia Chiuri ผู้อำนวยการสร้างสรรค์ของ Dior กล่าวถึงการบำรุงสัญชาตญาณความเป็นสัตว์ของเรากับ Dr. Clarissa Pinkola Estés
“สารสำคัญในหนังสือ Women who Run with the Wolves โดย Clarissa Pinkola Estés (1992) คือว่าผู้หญิงควรเชื่อสัญชาตญาณของตัวเองเสมอเมื่อต้องตัดสินใจอะไรในชีวิต จริงๆ แล้วผู้หญิงถูกสอนให้ลืมสัญชาตญาณสัตว์ของตัวเองและเดินตามความเป็นเหตุและผลซึ่งมักจะต่อต้านพวกเรา การได้อ่านหนังสือเล่มนี้เป็นประสบการณ์ที่ให้ความสบายใจและเปิดโลกให้กับฉันมาก ตลอดชีวิตฉัน ฉันเดินตามสัญชาตญาณมาตลอด โดยที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าสำหรับผู้หญิงแล้วมันอาจจะเป็นการเลือกทางการเมืองด้วย หลายครั้งในอดีตฉันรู้สึกผิดที่คิดตามลางสังหรณ์ ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องผิด แต่หนังสือเล่มนี้สอนให้ฉันเชื่อในลางที่ฉันมี ฉันคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญมากที่ผู้หญิงจะรับรู้สิ่งเหล่านี้ เพราะการโฟกัสกับการเรียนรู้สามารถพาเราออกจากการใช้เหตุผลตามธรรมชาติในการตัดสินใจต่างๆ ได้”
WATCH