"The Louis" คอนเซปต์สเปซแห่งใหม่ล่าสุดจาก Louis Vuitton ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนถนน Wujiang ใจกลางย่านธุรกิจของเซี่ยงไฮ้ โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมรูปทรงเรือที่ได้รับแรงบันดาลใจจากประวัติศาสตร์ของเมซงในศตวรรษที่ 19 เมื่อครั้งผลิตหีบเดินทางสำหรับการข้ามมหาสมุทร พร้อมสะท้อนเอกลักษณ์ของเซี่ยงไฮ้ในฐานะเมืองท่าสำคัญของโลก อาคารแห่งนี้เปรียบเสมือนการฟื้นคืน 'เรือในตำนาน' ที่เชื่อมโยงอดีตเข้ากับโลกวัฒนธรรมร่วมสมัย ผ่านการออกแบบที่ซ้อนทับระหว่างความจริงและจินตนาการ ตั้งแต่หัวเรือโลหะลายโมโนแกรม ชั้นบนที่จัดวางเหมือนหีบเดินทาง ไปจนถึงระเบียงภายนอกที่ชวนให้นึกถึงบรรยากาศริมทะเล
ที่นี่คือพื้นที่ซึ่ง Louis Vuitton เปลี่ยนบูติกธรรมดาๆ ให้กลายเป็นบทสนทนาทางศิลปะและวัฒนธรรมอย่างแท้จริง โดยภายในรวมทั้งร้านบูติก คาเฟ่ และนิทรรศการที่ออกแบบร่วมกับ Shohei Shigematsu แห่ง OMA และนิทรรศการอีกแปดห้องธีมที่พาผู้ชมดำดิ่งสู่โลกของหัตถศิลป์ แฟชั่น กีฬา วรรณกรรม และน้ำหอม พร้อมทั้งขยายแนวคิด Louis Vuitton Culinary Community ผ่าน Le Café Louis Vuitton นำเสนอเมนูพิเศษที่ผสานวัฒนธรรมของฝรั่งเศสและเซี่ยงไฮ้อย่างประณีต ทุกองค์ประกอบของ The Louis จึงเป็นบทใหม่ของการเดินทาง ที่ถ่ายทอดจิตวิญญาณของเมซงในฐานะ House of Culture ได้อย่างลึกซึ้งและสง่างาม
ไฮไลต์ที่ Louis Vuitton เล่นใหญ่และไม่อยากให้ทุกท่านพลาดนั่นคือ นิทรรศการ Visionary Journeys ถ่ายทอดประวัติศาสตร์ของแบรนด์ได้อย่างน่าสนใจ ผ่านธีมหลัก 8 ธีม แบ่งตามหมวดหมู่ที่เป็นรากฐานของเมซง อาทิ การเดินทาง งานฝีมือ แฟชั่น และนวัตกรรม ออกแบบพื้นที่จัดแสดงโดย Shohei Shigematsu จาก OMA เนรมิตพื้นที่แห่งนี้ให้เป็นเส้นทางแห่งกาลเวลาและความคิดสร้างสรรค์ ที่ผสานไอคอนจากอดีตและปัจจุบันไว้ด้วยกันผ่านรูปแบบ Immersive Storytelling ตั้งอยู่บนพื้นที่สองชั้นภายในโครงสร้างทรงตัวเรือของ "The Louis" และไฮไลต์สำคัญของนิทรรศการคือ 'Trunkscape' ผลงานอินสตอลเลชั่นอันโดดเด่นที่สร้างจากทรังก์ Monogram canvas ได้ถูกจัดวางเป็นซุ้มประตูเหนือจริง รายล้อมด้วยฉากที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งก่อนหน้านี้เคยจัดแสดงที่ LV The Place Bangkok และพิพิธภัณฑ์ศิลปะ Nakanoshima ณ เมืองโอซาก้า
นอกจากนั้นยังมีห้องนิทรรศการอีกมากมายตั้งแต่นิทรรศการห้อง 'Origins' ที่ถ่ายทอดวิวัฒนาการของงานออกแบบหีบ ตั้งแต่ผ้าใบ Gris Trianon จนถึง Steamer Bag และ Vanity Case ไปจนถึงโซน 'Workshop & Testing' เปิดเผยเบื้องหลังการผลิตตั้งแต่เวิร์กช็อป Asnières ไปจนถึงเครื่องมือที่เรียกว่า Louise และ Louisette ซึ่งใช้ตรวจคุณภาพสินค้าแต่ละชิ้น พร้อมจัดแสดงการสาธิตจากช่างฝีมือจริง เพื่อยืนยันว่าความทนทานคือความหรูหราในแบบฉบับของเมซง นิทรรศการแห่งนี้จึงเรียกได้ว่าเป็นประตูสู่โลกแห่งจินตนาการ ความทรงจำ และการเดินทางที่ไม่มีที่สิ้นสุดของ Louis Vuitton อย่างแท้จริง
ในส่วนของคาเฟ่ Le Café Louis Vuitton นำเสนอรสชาติที่หลอมรวมวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออกเข้าไว้ด้วยกันในสไตล์ 'Shanghai meets Paris' โดยเชฟ Leonardo Zambrino และเชฟขนมหวาน Zoe Zhou ซึ่งทั้งคู่เคยร่วมงานกับ Arnaud Donckele และ Maxime Frédéric ก่อนจะถ่ายทอดประสบการณ์เหล่านั้นผ่านเมนูที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกใหม่ ไม่ว่าจะเป็น Monogram Ravioli ในรูปแบบเกี๊ยว Jiaozi หรือ Cesar Salad Eclipse ที่เสิร์ฟพร้อมน้ำสลัดยูจาแบบเซี่ยงไฮ้ รวมถึงเมนูเด่นจากสาขาอื่นอย่าง 5th Avenue Lobster Roll, Club Pont Neuf และของหวานซิกเนเจอร์ Chocolate Hazelnut Vanilla Entremets นอกจากนี้ยังมีเมนูพิเศษที่รังสรรค์ขึ้นเฉพาะเซี่ยงไฮ้ เช่น Louis Hao ปลาดิบซาชิมิราดซอสเบอกามอต Mandarin Croque เป็ดตุ๋นกับกะหล่ำปลี และ The Hall Treasure เมนูซิกเนเจอร์จากร้าน The Hall ที่เฉิงตู ปิดท้ายด้วยของหวานอย่าง Peach Charlotte ชาเขียวมะลิ และ Pavlova ผลไม้เมืองร้อน ทุกองค์ประกอบเหล่านี้สะท้อนจิตวิญญาณของ The Louis อย่างแท้จริง ที่ซึ่งกลิ่น รส รูป ร่าง และงานฝีมือถูกร้อยเรียงเข้าด้วยกันเป็นบทใหม่ของการเดินทาง เชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบัน ความคลาสสิกกับการทดลอง เปิดพื้นที่ให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสประสบการณ์ที่ไม่ใช่แค่สถานที่ แต่เป็นการเดินทางผ่านประสาทสัมผัสทั้งหมด