FASHION
ข่มขืนไม่ผิดกฎหมาย! ครั้งหนึ่งกางเกงยีนส์รัดรูปเป็นข้ออ้างของการล่วงละเมิดทางเพศในอิตาลีกางเกงยีนส์เคยเป็นเกราะกำบังของอาชญากรผู้ล่วงละเมิดทางเพศให้รอดพ้นความผิด |
ภาพ: The Daily Dot
เธอก็มีส่วนผิด! เราเคยอยู่ในยุคที่ความคิดเรื่องการล่วงละเมิดทางมีต้นเหตุมาจากความวาบหวิวของแฟชั่นผู้หญิง ณ ขณะนั้น คำตราหน้าว่า “ใส่สั้น” “แต่งตัวโป๊” หรือจะเป็น “สมควรแล้วล่ะไม่รู้จักระวัง” สรุปแล้วการโดนข่มขืนกระทำชำเราเป็นความผิดของสตรีผู้มีเรือนร่างสวยงามงั้นเหรอ? ทำไมการที่เพศ ๆ หนึ่งมีผิวพรรณสวยงาม รูปร่างหน้าตาดีประกอบกับการแต่งตัวอวดสัดส่วนที่ช่างสมบูรณ์ของตัวเองแบบถึงเป็นเรื่องผิดเมื่อเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น สมัยนี้นี้ยังดีเมื่อการกระทำร้าย ๆ ทางเพศต่อผู้อื่นไม่ว่าจะเพศใดล้วนผิดกฎหมาย แต่มีอยู่ยุคสมัยหนึ่งแฟชั่นกลายเป็นข้ออ้างสำหรับการข่มขืนโดยไม่มีความผิดใด ๆ ทั้งสิ้น! วันนี้เนื่องในวันสตรีสากล (8 มีนาคม) เราจะพาสาว ๆ ย้อนกลับไปชมเรื่องราวอันน่าหดหู่ที่แฟชั่นกลายเป็นเครื่องมือกำบังความผิดสำหรับคนชั่ว
ดาราหนุ่ม Marlon Brando กับลุคกางเกงยีนส์สุดขบถในช่วงยุคนั้นจนพลิกกระแสแฟชั่นโลก / ภาพ: Valet Mag
ย้อนกลับไปช่วงยุค ‘70s – ‘90s กางเกงยีนส์มีบทบาทมากในด้านแฟชั่น เพราะมันกลายเป็นไอเท็มที่ทุกคนต้องมีติดตู้เสื้อผ้าไว้ไม่มากก็น้อย กระแสมันเริ่มมาจากผู้ชายก่อนในยุค ‘50s ที่การใส่ยีนส์โดย Marlon Brando คือความขบถในวิถีแฟชั่น และนั่นคือความเปลี่ยนแปลงที่ได้รับความนิยมเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน แน่นอนว่าตัววัตถุสิ่งของมันไม่มีพิษสงแต่สิ่งที่ทำให้มันแปดเปื้อนสกปรกคือจิตใจมนุษย์ที่หยิบยกสิ่งเหล่านี้มาเป็นเครื่องป้องกันในการทำสิ่งชั่วร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการล่วงละเมิดทางเพศที่มีกางเกงยีนส์เป็นเกราะกำบังแบบในอิตาลีปี 1992...
ตัวอย่างลักษณะที่แสดงถึงความสามารถในการก้าวก่ายช่วงการสอนขับรถ / ภาพ: The Guardian
(เรื่องราวนี้ชื่อตัวละครถูกเก็บเป็นความลับ) ครูสอนขับรถเพศชายวัย 45 ปีรับสอนลูกศิษย์มากหน้าหลายตาทั้งเพศหญิงและเพศชาย แต่เขาสะดุดตากับเด็กสาววัย 18 ปีคนหนึ่งที่ลงเรียนคอร์สขับรถกับเขานี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ แน่นอนว่ามันเริ่มจากการใช้เวลาอยู่ด้วยกัน 2 ต่อ 2 ซึ่งแง่มุมนี้สมัยก่อนผู้หญิงมักจะถูกสังคมประณามว่า “ก็ทำตัวสุ่มเสี่ยงเสียเอง” รถคันนี้ถูกแปรสภาพเป็นม่านรูดขนาดย่อมเพราะชายอิตาเลียนวัยกลางคนเริ่มที่จะล่วงละเมิดทางเพศกับเด็กน้อยคนนี้ภายในรถ โดยที่กำชับไว้อย่างโหดเหี้ยมว่า “ห้ามไปบอกใครไม่งั้นตาย!” ความพีคระลอกแรกจบลงด้วยความข่มขื่นของหญิงสาวคนนี้
WATCH
ภาพบรรยากาศของศาลฎีกาอิตาลี / ภาพ: Little Viral Things
ศักดิ์ศรีของเธอถูกเหยียบย่ำเกินทนเธอเลือกที่จะบอกพ่อแม่ในคืนนั้นและพากันไปแจ้งความ เรื่องราวนี้มีหลักฐานต่าง ๆ มัดตัวอาชญากรคนนี้ได้อยู่หมัด แต่เหมือนเรื่องราวมันไม่ได้จบง่ายเช่นนั้น กางเกงยีนส์ตัวปัญหากลับกลายมาเป็นหอกข้างแคร่ของเหยื่อเสียอย่างนั้น ข้ามเวลามาจนถึงปี 1998 หลังจบกระบวนความเรื่องนี้ไปสักพัก ศาลฎีกาของอิตาลีหยิบยกประเด็นมาพิจารณากันอีกครั้งและเหมือนฝันร้ายที่เป็นจริงเกิดขึ้นเพียงเพราะแฟชั่นจากเด็กหญิงคนหนึ่งซึ่งแต่งตัวตามเทรนด์ยุค ‘90s ทำให้เธอถูกเหยีบย่ำทางจิตใจซ้ำอีกรอบหนึ่งอย่างไม่เป็นธรรม
ยีนส์ Levi's จากยุค '90s ที่คิดว่าเหยื่อน่าจะใส่รัดรูปกว่านี้อีก / ภาพ: Sadie Bess Vinatge
ปี 1998 ศาลฎีกาของอิตาลีกลับคำตัดสินเพราะพิจารณาจากสภาพแวดล้อมและกางเกงยีนส์สุดรัดตัวปัญหานี้ พวกเขามองว่า “กางเกงมันรัดจนเกินไปมันไม่มีทางที่จะถอดมันออกโดยที่ไม่ได้รับความยินยอมและช่วยเหลือจากผู้หญิง นั่นทำให้มันไม่ใช่การข่มขืนอีกต่อไปแต่มันคือการมีเพศสัมพันธ์อันสมยอม” ปรากฏการณ์กางเกงยีนส์รัดรูปกลายเป็นข้ออ้างในการข่มขืนโดยไม่ผิดสั่นสะท้านไปทั่วทั้งโลก ศาลระบุชัดเจน “จากประสบการณ์ทั่ว ๆ ไปมันแทบจะเป็นไปไม่ได้ถ้าจะถอดกางเกงยีนส์ลักษณะนี้โดยไม่มีการร่วมไม้ร่วมมือกันของทั้ง 2 ฝ่าย” ตอกย้ำความอัปยศของศักดิ์ศรีผู้หญิงและช่องโหว่ของการถูกล่วงละเมิดชนิดที่ทำให้คนทั้งโลกร้อนรุ่มไปกับความละเลยนี้
การประท้วง Jeans: An Alibi for Rape หลังจากวันตัดสินคดี / ภาพ: AP
หลังจากวันตัดสิน 1 วันมีการประท้วง “Jeans: An Alibi for Rape” หรือแปลความได้ว่ายีนส์คือข้ออ้างสำหรับการข่มขืน หลังจากเหตุการณ์นี้จึงเกิดวัน Denim Day (25 เมษายน) ขึ้นโดยการสนับสนุนจาก Patricia Giggans ผู้อำนวยการบริหารของ Los Angeles Comission on Assaults Against Women หรือตอนนี้คือ Peace Over Violence เพื่อเป็นการระลึกถึงเหตุการณ์อัปยศครั้งนี้และดำเนินกิจกรรมใส่ยีนส์เพื่อเป็นสัญลักษณ์ต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศ เหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้นและถ้ามันเกิดขึ้นแฟชั่นการแต่งกายไม่ใช่ข้ออ้างที่จะแสดงพฤติกรรมดั่งเดนมนุษย์ของใครก็ตาม เพราะสุดท้ายแล้วสิทธิ์ในร่างกายของใครก็คนทุกคนไม่สามารถถูกกำหนดโดยคนอื่นว่านี่คือสิ่งของที่สามารถหยิบจับ แตะต้องหรือกระทำชำเราอะไรก็ได้ ไม่แม้แต่นิด ถึงแม้ว่าศาลจะกลับคำตัดสินอีกครั้งในปี 2008 ให้ชายผู้นั้นรับผิดแต่มันเหมือนจะสายไปเสียแล้ว...
WATCH