Louis Vuitton x Yayoi Kusama โปรเจกต์ส่งท้ายปีที่เสริมสร้างศิลปะอันเป็นไม่มีที่สิ้นสุด
ความยิ่งใหญ่ของศิลปะฝีมือ Yayoi Kusama สะท้อนอยู่บนรูปแบบผลผลิตด้านแฟชั่นอันละเอียดของ Louis Vuitton จนเกิดเป็นการผสมผสานระหว่างงานศิลปะอันเป็นนิรันดร์
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2012 Gaston-Louis Vuitton ทายาทผู้ก่อตั้งแบรนด์ Louis Vuitton ได้เชิญ Yayoi Kusama มาร่วมออกแบบผลงานสำหรับโชว์บริเวณหน้าต่างและภายในร้านสาขาต่างๆ ของหลุยส์ วิตตอง ความร่วมมือนี้ถูกผลักดันตลอดหลายปีจนเปรียบได้กับการเดินทางผ่านห้วงเวลายาวนาน ซึ่งการจับมือกันครั้งนี้จึงคล้ายการบรรจบกันของโลกแห่งแฟชั่นและศิลปะโดยหลุยส์ วิตตองและยาโยอิ คุซามะ ภายใต้คอนเซปต์ “การสร้างสรรค์อันไร้ขีดจำกัด” ทั้งหมดทั้งมวลทำให้เราได้เห็นความงดงามอันไม่มีที่สิ้นสุดจากลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ตั้งแต่ปี 2012 ยาโยอิเผยว่า งานครั้งนั้นช่วยสร้างแรงบันดาลใจและความสนุกเพื่อต่อสู้กับการใช้ชีวิต ซึ่งทำให้เธอสามารถถ่ายทอดมุมมองแนวคิดผ่านงานศิลปะเป็นวงกว้างมากขึ้น โดยศิลปะภายในตัวยาโยอิเองก็ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยและช่วงวัย สะท้อนให้เห็นการพัฒนาแบบไม่ต้องแบ่งแยก เพียงแต่ค้นคว้าหาสิ่งใหม่ๆ เสมอ นั่นทำให้ศิลปะของเธอมีอิสระไม่มีกรอบใดสามารถมาตีกรอบกำหนดได้ สอดคล้องกับวิถีการสรรสร้างตามรสนิยมอวองต์-การ์ดที่เธอกำหนดเป้าหมายอยู่เสมอ และทุกผลงานเป็นผลงานที่ยาโยอิทุ่มเทชีวิตและจิตวิญญาณเพื่อสร้างสรรค์ออกมาอย่างเต็มที่ที่สุด
ลวดลายจาก My Eternal Soul กลายเป็นสิ่งสะดุดตาของผู้พบเห็นและเป็นผลงานที่สอดแทรกอยู่ในโปรเจกต์ใหม่ของยาโยอิ ซึ่งเป็นผลงานที่เธอยังตกตะลึงกับการใช้ลวดลายของเธอเองมาผสมผสานกับงานออกแบบของหลุยส์ วิตตองอย่างลงตัว ถือเป็นอีกจุดหมายสำคัญที่ศิลปินคนนี้สามารถก้าวมาถึงอีกระดับของการนำเสนอผลงานระดับโลกตามแนวทางอวองต์-การ์ด พร้อมทั้งระบุว่า “ฉันไม่เคยจินตนาการการเป็นอย่างอื่นได้เลยนอกเสียจากศิลปิน” นอกจากนี้ยาโยอิยังกล่าวถึงความทุ่มเทที่เธอสามารถสร้างสรรค์ผลงานผ่านความลำบากของชีวิตจนได้รับชีวิตอันสุขสบายและมีความสุขที่สุด อีกทั้งยังขึ้นแท่นเป็นศิลปินที่ได้รับการจดจำทั้งในฐานะยาโยอิ และศิลปินผู้ร่วมงานกับแบรนด์เก่าแก่จากฝรั่งเศสเช่นนี้
WATCH
เมื่อกลับมาถึงเรื่องคอลเล็กชั่น โปรเจกต์ความร่วมมือนี้แนวคิดเกี่ยวกับการผลิตซ้ำคือความเป็นที่สุด ลวดลายที่ไหลลื่น ความสมบูรณ์แบบและกลิ่นอายแห่งความเป็นนิรันดร์สะท้อนอยู่ในคอลเล็กชั่นภาคต่อ ผลงานชิ้นไอคอนิกไม่เพียงได้รับการสร้างสรรค์โดยกระบวนการตามแบบฉบับของยาโยอิและธีมเท่านั้น แต่ยังเป็นบททดสอบและท้าทายขีดจำกัดของช่างฝีมือของหลุยส์ วิตตอง พร้อมทั้งเชิดชูงานฝีมือซึ่งเป็นแนวคิดที่คงอยู่นิรันดร์ทั้งสำหรับเมซงและศิลปินหญิง ซึ่งในคอลเล็กชั่นนี้ตีความการถ่ายทอดความไม่สิ้นสุดให้ถึงผู้คนผ่านการสร้างสรรค์เสื้อผ้าและเครื่องประดับในคอลเล็กชั่น ยิ่งเมื่อเป็นสิ่งที่ต้องสวมใส่ด้วยแล้ว เราจึงต้องคำนึงถึงความสุขที่เกิดขึ้นผ่านการสัมผัสและมองเห็น ในฐานะของศิลปะของยาโยอิและงานฝีมือของหลุยส์ วิตตอง โดยในคอลเล็กชั่นนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ดรอป โดยดรอปแรกประกอบด้วยคอลเล็กชั่น PAINTED DOTS, METAL DOTS, INFINITY DOTS และ PSYCHEDELIC FLOWER
ลวดลาย Painted Dots คือรากฐานของโปรเจกต์นี้เปรียบเสมือนการถ่ายทอดฝีมือของยาโยอิผ่านเทคนิคการพิมพ์ลายที่แสนสลับซับซ้อน ลงบนแผ่นหนังและผ้าแคนวาสเคลือบซึ่งเป็นวัสดุสำคัญของเมซง ลวดลายนี้เปรียบได้กับการเดินทางตลอดชีวิตของศิลปินหญิง นับตั้งแต่ช่วงวัยเด็กราวสิบขวบที่เธอได้ริเริ่มสร้างสรรค์ผลงาน ลวดลายดังกล่าวถูกนำมาผสมผสานกับชิ้นงานสุดประณีตของหลุยส์ วิตตอง ใช้เทคนิคการไล่สีและการจับคู่สีที่โดดเด่น รวมถึงการพัฒนาให้ลวดลายดังกล่าวสามารถใช้บนไอเท็มเครื่องหนังสุดไอคอนิกของแบรนด์ได้อย่างลงตัวที่สุด
Metal Dots เปรียบดั่งภาพสะท้อนความเป็นนิรันดร์ โดยลวดลายนี้ได้แรงบันดาลใจจาก Narcissus Garden ซึ่งจัดแสดงอย่างไม่เป็นทางการในเทศกาลศิลปะ Venice Biennale ครั้งที่ 33 ในปี 1966 ความโดดเด่นตรงนี้ถูกถ่ายทอดลง กระเป๋ารุ่น Cannes เรื่อยไปจนถึงกระเป๋าทรงนิ่มรุ่น Side Trunk ขณะที่กระเป๋ารุ่น Capucines ถูกแต่งแต้มด้วยการไล่เฉดสีที่ให้กลิ่นอายแบบยุคสเปซเอจ พร้อมทั้งสะท้อนแฟชั่นสไตล์ฟิวเจอริสติกจากยุค ‘60s ผ่านการใช้โลหะประดับรองเท้า
Infinity Dots เอกลักษณ์ของยาโยอิที่ติดตามคอศิลปะทั่วโลก นี่คือจุดตั้งต้นของฉายา “เจ้าหญิงแห่งลวดลายจุด” ลวดลายนี้สะท้อนถึงการลบตัวตนของยาโยอิเอง ผลงานรูปแบบนี้ถูกแมตช์คู่สีกันจนเกิดมิติทางศิลปะอันแตกต่าง วิธีการสอดแทรกผลงานเซ็ตนี้ทำได้อย่างหลากหลายและหลุยส์ วิตตองก็ไม่พลาดจะนำผลงานชิ้นสำคัญของยาโยอิมาประทับลงบนกระเป๋ารุ่นเด่นทั้ง Capucines, Keepall, Soft Trunk และ Empriente Neverfull มากไปกว่านั้นยังเติมแต่งลงบนเสื้อผ้าและแอ็กเซสเซอรี่ชิ้นเก๋เพิ่มความมีสไตล์ให้กับไอเท็มชิ้นต่างๆ ดูสนุกน่านำมามิกซ์แอนด์แมตช์มากขึ้น
ปิดท้ายกันที่ลวดลาย Psychedellic Flower ผลงานจากปี 1993 ของยาโยอิ จิตรกรรมรูปดอกไม้อันชวนพิศวงถูกนำเสนอใหม่ในรูปแบบของเครื่องประดับและเสื้อผ้าสำหรับสุภาพบุรุษและสตรี รายละเอียดต่างๆ ค่อยๆ ถูกประทับลงบนเสื้อผ้าอย่างเหมาะสมลงตัว พร้อมสอดแทรกลงบนกระเป๋าหลากหลายรุ่น และที่สำคัญคือการแต่งแต้มด้วยแผ่นหนัง Taurillon ที่ช่วยสร้างสมดุลระหว่างงานศิลปะของยาโยอิกับมนต์เสน่ห์ของแบรนด์ที่เข้ากันอย่างลงตัวที่สุด ใครสนใจความยอดเยี่ยมเหล่านี้สามารถเลือกช็อปดรอป 1 กันได้แล้วที่ร้านหลุยส์ วิตตอง ณ ประเทศญี่ปุ่นและจีน ในวันที่ 1 มกราคม 2023 ก่อนจะวางขายทั่วโลกวันที่ 6 มกราคม 2023 และดรอป 2 จะมาสร้างมิติความสนุกอีกครั้งในวันที่ 31 มีนาคม 2023 สาวกยาโยอิและหลุยส์ วิตตองห้ามพลาด!
WATCH