FASHION
เปิดประวัติโลโก้แบรนด์ดัง! กว่าจะกลายเป็นภาพจำระดับโลกนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไรเพราะกว่าจะมาเป็นโลโก้แบรนด์เนมที่มีมูลค่าสูงอย่างเช่นทุกวันนี้นั้นไม่ได้มีที่มาง่ายๆ |
รู้หรือไม่ว่ากว่าจะมาเป็นโลโก้แบรนด์เนมที่มีมูลค่าสูงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแต่ละแบรนด์ก็มีที่มาที่ไปที่แตกต่างกันออกไป ประวัติศาสตร์อันยาวนานและเรื่องราวของแต่ละแบรนด์เป็นการสร้างมูลค่าทำให้แบรนด์ให้มีความน่าเชื่อถือ และสามารถจำหน่ายในมูลค่าให้กับแบรนด์ได้เป็นอย่างมาก วันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับประวัติความเป็นมาของโลโก้แบรนด์ดังของแต่ละแบรนด์กัน
เริ่มกันที่แบรนด์แรกที่เป็นแบรนด์โปรดของสาวๆ หลายคนอย่าง “Dior” ซึ่งมีโลโก้หลากหลายรูปแบบที่ถูกนำไปใช้กับไอเท็มที่แตกต่างกันไป แต่โลโก้แรกของดิออร์เป็นโลโก้ตัวอักษรที่เขียนว่า Christian Dior มีตัวย่อ CD ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้กับไอเท็มจำพวกเครื่องสำอาง โดยคำว่า Christian Dior นั้นเป็นชื่อของผู้ก่อตั้งแบรนด์ ต่อมามีการเปลี่ยนมาใช้ตัวอักษร Dior และถูกนำไปใช้กับไอเท็มชนิดอื่นๆ ด้วย เป็นโลโก้ตัวพิมพ์ใหญ่แบบอักษร Serif ที่สร้างลักษณะของแบรนด์ให้มีความหรูหรามากยิ่งขึ้น
แบรนด์ต่อมาเป็นแบรนด์หรูหราระดับต้นๆ ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกับแบรนด์ “Hermès” อย่างที่รู้กันว่าแอร์เมสเป็นแบรนด์ที่เริ่มจากการผลิตเทียมม้าและบังเหียนสำหรับรถม้าของชนชั้นสูงมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1837 ต่อมาทางแบรนด์อยากที่จะสร้างภาพลักษณ์ทางแฟชั่นด้วยการผลิตเครื่องหนัง เสื้อผ้า และกระเป๋า จึงทำให้มีการสร้างโลโก้ที่เป็นรูปม้าขึ้นในปี ค.ศ.1945 จะเห็นได้ว่าโลโก้ของแอร์เมสนั้นยังคงมีความเป็นเอกลักษณ์และเล่าประวัติศาสตร์ของแบรนด์ได้ดีว่าแบรนด์มีที่มาจากการทำอะไร
WATCH
อีกหนึ่งแบรนด์ที่มีโลโก้เป็นเอกลักษณ์ระดับโลกกับ “Louis Vuitton” โดยโลโก้มีตัวอักษรย่อแบรนด์ LV และลายโมโนแกรมดอกไม้ญี่ปุ่น ที่ถูกใช้มาตั้งแต่ปี ค.ศ.1896 เป็นการสร้างเอกลักษณ์ให้กับแบรนด์โดยที่ไม่มีใครสามารถเลียนแบบได้ ซึ่งตัวอักษรย่อ LV นั้นมีที่มาจากชื่อของ Mr. Louis Vuitton ผู้ก่อตั้งแบรนด์ ส่วนลายดอกไม้ญี่ปุ่นโมโนแกรมมีที่มาจากในช่วงปี ค.ศ.1867 กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสมีการจัดงาน Exposition Universelle เป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมของแต่ละประเทศ โดยประเทศญี่ปุ่นได้มีการเผยแพร่เรื่องดอกไม้ประจำตระกูลที่เรียกว่า คามอน จึงทำให้เข้าตาผู้บริหารแบรนด์และถูกนำมาใช้เป็นโลโก้จนถึงทุกวันนี้
เรียบเรียง : Ramita Naungtongnim
WATCH