เปิดตำนานกระเป๋าเดินทางสุดหรู 'Rimowa' และสิ่งที่คุณอาจไม่เคยรู้...

       ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1898 Paul Morszeck และ Heinrich Görtz ชายหนุ่มชาวเยอรมนีได้ร่วมกันเปิดบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับกระเป๋าเดินทางภายใต้ชื่อแบรนด์ Gortz & Morszeck แบรนด์ที่เชี่ยวชาญในการทำกระเป๋าเดินทางที่มีน้ำหนักเบา ทนทาน โดยใช้ไม้และหนังเป็นวัสดุหลัก จนกระทั่งปี ค.ศ. 1931 Richard ลูกชายของพอลก็ได้เข้ามาช่วยดูแลธุรกิจนี้ และตั้งชื่อแบรนด์กระเป๋าเดินทางใหม่ในนามของ “Rimowa” ซึ่งเป็นตัวอักษรย่อของชื่อ Richard Morszeck และคำว่า Warenzeinchen ซึ่งมีความหมายว่า “เครื่องหมายการค้า” ในภาษาเยอรมัน

ภาพ: Rimowa

       

     ธุรกิจก็ดำเนินต่อไปได้เรื่อยๆ จนกระทั่งในปี 1937 เกิดไฟไหม้ขึ้นที่โรงงานทำกระเป๋าเดินทางแห่งนี้ วัสดุในการทำกระเป๋าแทบจะทุกอย่างถูกไฟไหม้ทั้งหมด เหลือไว้เพียงแค่โครงอลูมิเนียมที่หลงเหลืออยู่เท่านั้น ว่ากันว่าฟ้าหลังฝนย่อมสวยงามเสมอ เพราะหลังจากเหตุการณ์นั้นริชาร์ดก็ผุดไอเดียการทำกระเป๋าเดินทางจากอลูมิเนียมขึ้นหลังจากเห็นความทนทานของมัน เขาได้ลองทำมาหลากหลายวิธีและหลายรูปแบบจนสุดท้ายก็กลายเป็นกระเป๋าเดินทางที่ทำจากอลูมิเนียมตัวต้นแบบของ 'Rimowa' และถือเป็นแบรนด์ของโลกที่นำอลูมิเนียมมาผลิตเป็นกระเป๋าเดินทางในปี ค.ศ. 1937

       ในช่วงแรกกระเป๋าเดินทางอลูมิเนียมที่มีรูปร่างคล้ายหีบใบนี้ไม่ได้มีพื้นผิวพิเศษอะไร เพราะสร้างสรรค์ขึ้นเป็นลายของอลูมิเนียมปกติ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1950 ซึ่งเป็นปีที่รุ่งเรืองของวงการการบินก็ว่าได้ โดยแบรนด์ Rimowa หยิบยกนำเอาแรงบันดาลใจจากเครื่องบินรุ่น JU52 ซึ่งเป็นเครื่องบินลำแรกของโลกที่ทำด้วยอลูมิเนียมทั้งลำ มาใช้ในการผลิตกระเป๋าเดินทางรุ่น Topas โดยประกอบด้วยชิ้นส่วนทั้งหมด 205 ชิ้นและมีความทนทานสูง อีกทั้งยังโดดเด่นด้วยดีไซน์พื้นผิวแบบ Groove line ที่เป็นร่องคล้ายกับเครื่องบินรุ่น JU52 ตั้งแต่นั้นมา ดีไซน์ร่องของกระเป๋ารุ่นนี้เปรียบเสมือนเอกลักษณ์เฉพาะของแบรนด์ Rimowa จนถึงปัจจุบัน

       ภาพ: Rimowa

 

       ต้องยอมรับว่า Rimowa เป็นแบรนด์กระเป๋าเดินทางลักชัวรีที่มีการพัฒนาและคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้กับสินค้าอยู่เสมอ ทั้งในเรื่องของขนาด ดีไซน์ และฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบรับกับความต้องการของลูกค้าในขณะนั้น จนกระทั่งปี ค.ศ. 1976 Dieter ลูกชายของพอลได้มีการพัฒนากระเป๋าเดินทางรุ่น Topas ที่สามารถกันน้ำและความชื้นได้ ซึ่งเขาตั้งใจทำขึ้นเพื่อตอบโจทย์ช่างภาพและกลุ่มคนทำภาพยนตร์ เพราะพวกเขาต้องไปในที่ที่มีอากาศร้อนจัดหรือเย็นจัด มีการเดินทางอยู่ตลอดเวลา และอุปกรณ์ต่างๆ เหล่านี้อาจได้รับความเสียหายได้ถ้าอยู่ในที่ที่ไม่ปลอดภัย อีกทั้งยังรังสรรค์กระเป๋าขึ้นมาหลายขนาดเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ทั้งกระเป๋าใบเล็กสำหรับใส่เครื่องสำอาง กระเป๋าที่มีขนาดพอดีสามารถลากขึ้นเครื่องบินได้ กระเป๋าเดินทางที่สามารถขนอุปกรณ์กีฬา ไปจนถึงกระเป๋าสำหรับใส่ไวน์และแชมเปญโดยเฉพาะ

    ภาพ: Rimowa   

 

     และเพื่อเป็นการตอกย้ำความเป็นแบรนด์กระเป๋าเดินทางชั้นนำ ในปี 2000 Rimowa มีการผลิตกระเป๋าด้วยวัสดุ Polycarbonate พลาสติกคุณภาพสูงที่มีความทนทานต่ออุณหภูมิและมีน้ำหนักเบากว่ากระเป๋าเดินทางรุ่นก่อน รวมถึงมีการคิดค้นล้อ Mutiwheel ที่สามารถหมุนได้ 360 องศา เพื่อการลากกระเป๋าที่ง่ายขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งมีการคิดค้นเทคโนโลยีร่วมกับ Lufthansa สายการบินของประเทศเยอรมนี เพื่อสร้าง Electronic tag หรือแถบชิปอิเล็กทรอนิกส์บนกระเป๋า เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้โดยสารที่สามารถเช็คอินกระเป๋าเดินทางด้วยโทรศัพท์ผ่านการเชื่อมต่อบลูทูธไปยังแอปพลิเคชั่นของสายการบินโดยเฉพาะ ไม่จำเป็นต้องต่อคิวเพื่อพิมพ์สติ๊กเกอร์ติดกระเป๋าอีกต่อไป ซึ่งถือว่าเป็นความล้ำสมัยในวงการกระเป๋าเดินทางอย่างมาก

       ภาพ: MGR Online

 

       ด้วยความนิยมอย่างแพร่หลาย ทำให้ในปี 2016 แบรนด์กระเป๋าเดินทาง Rimowa ได้ย้ายเข้าไปอยู่ในธุรกิจ Fashion & Leather goods ของบ้าน LVMH อย่างเป็นทางการ โดยขายหุ้นให้กับ LVMH ถึง 80% ซึ่งเป็นเงินราวๆ 640 ล้านเหรียญสหรัฐ และอยู่ร่วมกันกับแบรนด์ลักชัวรีระดับโลก ทั้ง Louis Vuitton, Christian Dior หรือ Celine ทำให้ฐานลูกค้าของ Rimowa เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งเน้นไปทางกลุ่มวัยรุ่นมากขึ้น ทำให้มีการคอแลบอเรชั่นกับแบรนด์ High-Street มากมาย ทั้ง Supreme, Bape หรือ Off-White และแน่นอนว่าได้รับผลตอบรับที่ดีเกินคาด ถึงขนาดที่มีการนำกระเป๋าเดินทางเหล่านั้นมาขายต่อกันที่ราคาหลักแสนเลยทีเดียว ปฏิเสธไม่ได้ว่า Rimowa เป็นแบรนด์กระเป๋าเดินทางลักชัวรีที่โดดเด่น มีเอกลักษณ์เฉพาะ และเป็นที่ต้องการในตลาดอย่างมาก ถึงแม้ราคาจะสูงกว่าเมื่อเทียบกับกระเป๋าเดินทางแบรนด์อื่นๆ แต่ด้วยคุณภาพของวัสดุ ความพิถีพิถันในการผลิต ไปจนถึงการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อมาใช้กับกระเป๋าเดินทางใบนี้ก็ถือว่าคุ้มค่ากับการลงทุน เพราะนอกจากจะเป็นสิ่งที่ใส่สัมภาระไว้เดินทางแล้ว ก็ยังเป็นเหมือนสิ่งที่บอกถึงรสนิยมของผู้ใช้ได้เช่นกัน