ยิ่งกว่าซินเดอเรลล่า! ย้อนรอย Grace Kelly จากดาราฮอลลีวู้ดสู่ 'เจ้าหญิงแห่งโมนาโก'
คุณคิดว่าเรื่องราวปกรณัมในแบบฉบับของซินเดอเรลล่าจะมีจริงหรือไม่...
คุณคิดว่าเรื่องราวปกรณัมในแบบฉบับของซินเดอเรลล่าจะมีจริงหรือไม่...
ย้อนกลับไปในปี 1955 นักแสดงสาวชื่อดังอย่าง Grace Patricia Kelly ขึ้นรับรางวัลออสการ์ ในสาขารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมเป็นครั้งแรกในชีวิตจากภาพยนตร์เรื่อง “The Country Girl” หลังจากที่เธอใช้ความพยายามอย่างหนัก เพื่อพิสูจน์ฝีมือด้านการแสดง ผ่านบทบาทตัวละครสมทบเล็กๆ เรื่อยมาตั้งแต่ปี 1951 ที่เพียงช่วงกระพริบตาทิ้งเวลาแค่ 4 ปีผ่านไป เธอก็สามารถขึ้นไปยืนที่แถวหน้าของวงการฮอลลีวู้ดได้ไม่ยาก จนอาจกล่าวได้ว่านั่นคือความสำเร็จอย่างยิ่งยวดของเธอในเวลาเพียงไม่ถึงครึ่งทศวรรษในวงการฮอลลีวู้ด กระนั้นก็ดูเหมือนว่าโชคชะตาของสุภาพสตรีผู้นี้จะไม่ได้หยุดลงเพียงเท่านั้น เพราะในช่วงปีเดียวกันนี้ ชีวิตของเธอยังต้องจดจำเลขที่ 1955 และเปลี่ยนไปตลอดกาล...
เรื่องทุกอย่างคงจะเริ่มต้นขึ้นเมื่อช่วงเดือนเมษายน 1955 เกรซ เคลลี่ ที่ในเวลานั้นคือนักแสดงสาวดาวรุ่งพุ่งแรงที่สุดคนหนึ่งของวงการบันเทิงโลก เข้าร่วมเดินพรมแดงงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ประจำปี ณ ประเทศฝรั่งเศส ในงานครั้งนั้นเกรซได้ถูกทาบทามให้เข้าร่วมเฟรมถ่ายภาพคู่กับ Rainier III , Prince of Monaco โดยฝีมือของ Pierre Galante บรรณาธิการบริหารนิตยสาร Paris Match ที่เป็นดั้งพ่อสื่อแม่ชักจัดการให้ทุกอย่าง และภาพประวัติศาสตร์ดังกล่าวก็ถูกบันทึกไว้ผ่านเลนส์กล้องของ Edward Quinn ช่างภาพชื่อดังของเมืองน้ำหอมในเวลานั้น ที่ต่อมาเขายังได้เผยวินาทีที่เกรซได้พบกับเจ้าชายเรนิเยร์ที่ 3 เป็นครั้งแรกไว้อีกว่า “เธอเพียงค้อมตัวอย่างสุขุมทักทายในแบบที่สุภาพชนชาวอเมริกันเขาทำกัน งอเข่าเล็กน้อย และจับมือกันเท่านั้น” แม้จะเป็นกิริยาท่าทางที่คาดเดาได้ยาก หากการชักภาพในครั้งนั้นกลับสร้างสายสัมพันธ์บางๆ ของทั้งคู่ขึ้น
เกรซ เคลลี่ ซึ่งในเวลานั้นมีข่าวว่ากำลังคบหากับหนุ่มหัวก้าวหน้าชาวฝรั่งเศสอยู่แล้ว แต่ยังหันมากระซิบกระซาบทิ้งท้ายกับเพื่อนนักแสดงด้วยกันที่อยู่แถวนั้น หลังร่วมถ่ายภาพกับเจ้าชายเรนิเยร์ที่ 3 แห่งโมนาโกว่า “ท่านช่างเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์อย่างมาก”...แต่นั้นก็ไม่ใช่ตอนจบ หากเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของบันไดการก้าวไปสู่การเป็ฯเจ้าหญิงของเกรซ เคลลี่ ด้วยซ้ำ เมื่อหลังจากนั้นเธอก็ได้มีโอกาสสานสัมพันธ์จริงจังกับเจ้าชายเรนิเยร์ที่ 3 แห่งโมนาโก โดยมีทับหลังอย่างบาทหลวงทักเกอร์ บาทหลวงประจำพระองค์คอยสนับสนุน กระทั่งมีรายงานจากหลายแหล่งข่าวในเวลานั้นออกมาว่า บาทหลวงได้ส่งจดหมายรักฉบับแรกจากเจ้าชายให้เกรซ โดยมมีเนื้องความด้านในว่า “ขอบคุณ สำหรับการแสดงให้เจ้าชายทรงทราบว่า สุภาพสตรีขาวอเมริกันคาทอลิกเป็นอย่างไร และสร้างความรู้สึกประทับใจอย่างลึกซึ้งตราตรึงพระทัยของพระองค์มิรู้ลืม”
เมื่อทุกอย่างลงล็อก รองเท้าแก้วถูกสวมได้อย่างพอดีเฉกเช่นปกรณัมซินเดอเรลล่าแล้ว หลังจากนั้นไม่ถึงปีทั้งคู่ก็เข้าพิธีเสกสมรสกัน...
พิธีเสกสมรสของเจ้าชายเรนิเยร์ที่ 3 แห่งโมนาโก และนางสาวเกรซ เคลลี่ กลายเป็นที่โจทก์ขานไปทั่วโลก จนอาจจะกล่าวได้ว่าเป็นงานแต่งงานที่โด่งดังที่สุดในศตวรรษที่ 20 ก็ว่าได้ โดยพิธีเสกสมรสดังกล่าวนั้นถูกจัดขึ้นติดต่อกัน 3 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 1956 ถูกบันทึกไว้ว่าเป็นพิธีภายในที่มีเพียงครอบครัว และสหายคนสนิทเพียงไม่กี่คนเท่านั้น เกรซ เคลลี่ ที่บัดนี้ได้กลายเป็นเจ้าหญิงเกรซแห่งโมนาโกแล้ว ปรากฏตัวในชุดวิวาห์ตัดเย็บลูกไม้ และผ้าไหมสีขาวงาช้างทั้งตัว โดยฝีมือการออกแบบ และตัดเย็บของดีไซเนอร์ชื่อดังในยุคนั้นอย่าง Helen Rose พร้อมเครื่องประดับศรีษะรัดรูป (ที่ต่อมากลายเป็นอีกหนึ่งชุดแต่งงานไอคอนิกในรอบศตวรรษ) ที่ไม่อาจปกปิดความประหม่าของเธอที่แสดงออกมาให้เห็นชัดเจนตลอดช่วงพิธี
WATCH
เจ้าหญิงเกรซแห่งโมนาโก กลายเป็ยนเจ้าหญิงที่โด่งดังที่สุดในโลก ณ เวลานั้น เพราะเรื่องราวของเธอช่างไม่ต่างจากเทพนิยายที่เหล่าเด็กสาวเคยได้ฟังก่อนนอนเมื่อครั้งยังเยาว์ เธอกลายเป็นที่นิยมด้วยหน้าตา และความสามารถที่เป็นที่ชื่นชอบของชาวอเมริกัน อีกทั้งระหว่างที่เจ้าหญิงเกรซตั้งครรภ์ เธอยังได้สร้างวัฒนธรรม It Bag ให้กับกระเป๋าถือของแบรนด์แฟชั่นอานม้าอย่าง Hermès จนกลายเป็นกระเป๋าไอคอนิกในตำนานมาแล้ว นั่นคือกระเป๋ารุ่นไอคอนิกกระเป๋ารุ่น Kelly bag โดย Hermès ที่บังเอิญได้เห็นภาพถ่ายของเธอบนปกนิตยสารเล่มหนึ่ง ขณะที่เธอกำลังใช้กระเป๋า Hermès ใบโต (Sac à Courroies) อันเป็นที่รักของเธอขึ้นมาปิดไว้บริเวณช่วงกลางลำตัว เพื่อปกป้องครรภ์ของเธอจากกลุ่มปาปารัสซี่ ในปี 1956 ก่อนที่ภาพนั้นจะกลายเป็นที่พูดถึง กระทั่งที่ Hermès เองยังต้องตั้งชื่อรุ่นกระเป๋าใบนั้นตามชื่อของเธอว่า “เคลลี่” และตอนนี้ยังกลายเป็นอีกหนึ่งรุ่นกระเป๋าในตำนานของอุตสาหกรรมแฟชั่นไปแล้วอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
ภาพถ่ายเมื่อครั้งที่เจ้าหญิงเกรซแห่งโมนาโก เข้าร่วมงานเลี้ยงเดียวกันกับเจ้าชายชาลส์ แห่งราชวงศ์อังกฤษ และไดอาน่า สเปนเซอร์ เจ้าหญิงแห่งเวลส์
เจ้าหญิงเกรซมีพระโอรส และพระธิดารวมทั้งสิ้น 3 พระองค์ คือ Princess Caroline , Prince Albert และ Princess Stéphanie ซึ่งชีวิตหลังเข้าพิธีเสกสมรสก็ดูจะเป็นไปได้ด้วยความปกติสุข เจ้าหญิงเกรซถูกทาบทามให้กลับไปแสดงภาพยนตร์หลายครั้ง แต่กลับได้รับเสียงต่อต้านเรื่องบทบาทที่จะแสดง ที่อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักาณ์ของการดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าหญิงแห่งโมนาโก ดังนั้นเจ้าหญิงเกรซจึงปฏิเสธการแสดงไป แต่ก็ยังคงวนเวียน และเกี่ยวข้องอยู่กับงานการกุศล ศิลปะ และวัฒนธรรม อยู่เสมอๆ กระทั่งในปี 1976 เจ้าหญิงเกรซได้ดำรงตำแหน่งอยู่ในคณะกรรมการของบริษัท Twentieth Century Fox บริษัทผู้ผลิตภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ของฮอลลีวู้ด ก่อนที่หลังจากนั้นอีกเพียงแค่ 6 ปี เจ้าหญิงเกรซแห่งโมนาโกจะเสียชีวิตลงจากสาเหตุของภาวะโรคหลอดเลือดสมองตีบฉับพลัน ที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่นำไปสู่การสูญเสียในที่สุด
ภาพบางส่วนจากภาพยนตร์เรื่อง Grace Of Monaco นำแสดงโดย Nicole Kidman
ทั้งนี้เรื่องราวของเจ้าหญิงเกรซแห่งโมนาโก ยังได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับวงการฮอลลีวู้ดด้วยการหยิบยกเอาชีวประวัติของสุภาพสตรีผู้โชคดีคนนี้มาสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อ Grace of Monaco ซึ่งเข้าฉายไปเมื่อปี 2014 ที่ผ่านมา โดยได้นักแสดงหญิงมากความสามารถระดับแม่เหล็กอย่าง Nicole Kidman มารับบทบาทเป็นเจ้าหญิงเกรซแห่งโมนาโกในครั้งนี้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้วเราก็อยากจะถามคำถามที่อยากให้คุณตอบอีกครั้งว่า “คุณคิดว่าเรื่องราวเทพนิยายในแบบฉบับของซินเดอเรลล่านั้นมีจริงหรือไม่...”
WATCH