CELEBRITY

ภาคต่อ! จับเข่าคุย 'โอปอล์-ปาณิสรา' กับความคาดหวังต่อผู้หญิงไทยที่เปลี่ยนไปในสายตาเธอ

     จับเข่าคุยกับนางแบบปกโว้กคนล่าสุด “โอปอล์-ปาณิสรา อารยะสกุล” กันต่อในตอนที่ 2 (อ่านตอนแรก คลิก) ไหวพริบและเรื่องราวเบื้องหลังคำตอบของโอปอล์ชวนให้เราประทับใจในตัวผู้หญิงคนนี้ได้เสมอ ผู้หญิงผู้มีพลังบวกพร้อมกระจายให้กับทุกคน บทบาทของการเป็นดารานักแสดง นางแบบ ภรรยา และคุณแม่ของลูกแฝดอลิน-อลัน ช่างแตกต่างกัน แต่หญิงเก่งคนนี้ก็จัดการได้อย่างเหมาะเจาะพอดี วิธีการใช้ชีวิตซึ่งเป็นต้นแบบให้ใครหลายคน และนี่คือบทสัมภาษณ์อีกส่วนหนึ่งที่จะทำให้เรารู้จักโอปอล์-ปาณิสรามากขึ้นกว่าเดิม...

     มีคำถามไหนไหมที่คิดว่าทำไมไม่มีใครถามโอปอล์เรื่องนี้บ้าง

     คนไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วในทุกๆ วัน สื่อที่ปอล์รับมากที่สุดคือข่าวเศรษฐกิจและการเมือง ปอล์ลงเรียนสถาบันพระปกเกล้าเรื่องการเมืองจนได้ประกาศนียบัตรเป็นรุ่นที่ 2 ของสถาบัน เราชอบอะไรที่เป็น Hard topic เป็นข้อเท็จจริง เพื่อนจะโทร.ถามทุกวันเลยว่าราคาทองเป็นไง หุ้นตัวไหน ลงทุนอย่างไร ทุกวันนี้ซันนี่ (สุวรรณเมธานนท์) หายไปจากชีวิตปอล์แล้ว เพราะปอล์ลากมันมาลงทุน (หัวเราะ) เรารู้สึกว่าต้นทุนที่มีประโยชน์คือเวลา สมมติว่าเราทำงานมา 10 กว่าปี เก็บเงินไว้ในกระเป๋าสตางค์ มันก็จะอยู่แค่นี้ แต่ถ้าเราหยอดไปในกองที่ถูกต้องมันจะงอกออกมาเป็นเท่าไร แต่คนจะไม่เคยถามปอล์เรื่องนี้เลย คนจะเข้าใจว่าเราต้องเป็นสายเมาท์มอย ซึ่งจริงๆ แล้วตรงข้าม ยิ่งเราทำงานในวงการนี้มา 16-17 ปี บางทีคนในข่าวคือเพื่อนเราด้วยซ้ำ ซึ่งเรารู้ว่าข้อเท็จจริงคือไม่มีอะไรเลย แต่พอเรื่องมันโดนยี มันก็จะไปกันใหญ่ เราเลยไม่อยากฟัง หรือแม้กระทั่งเรื่องของตัวเราเองที่ผ่านมาหนักมากในแต่ละระลอกของชีวิต เราเลยรู้สึกว่าเรื่องแบบนี้มันไม่ได้มีประโยชน์เลยที่จะมาถกเถียง เราจะไม่อิน

     พิธีกรรายการเศรษฐกิจและสังคมสักรายการไหม 

     พยายามเสนอตัวอยู่ค่ะ แต่เขาบอกว่าปอล์พูดแล้วมันขำ คนไม่เชื่อถือ (หัวเราะ)

 

     จริงๆ มันควรเป็นวิธีการนำเสนอที่ดีสิ เอาเรื่องยากมานำเสนอให้สนุก

     จริง แต่คนมักจะติดภาพเราในทางบันเทิง มีวันหนึ่งปอล์ น้องเต้ย (จรินทร์พร จุนเกียรติ) มาดามมดนั่งคุยกัน ปอล์กับเต้ยเล่นหุ้นก็คุยกันเรื่องหุ้นว่าตัวนี้ดีไหม ควรไหม เต้ยบอกว่าตัวนี้ควรมากเพราะราคากำลังขึ้นสูงมาก มาดามมดซึ่งคนมักจะติดภาพตลกจากวิกหรือการแต่งหน้าของนางก็พูดขึ้นมาว่า “ตัวนี้ไม่ได้ค่ะ มันเป็นหุ้นปั่น พี่โอปอล์คอยดูนะคะอีกไม่เกิน 3 เดือนมันจะลงแล้วมันจะเป็นข่าว” แล้วมันเป็นจริงจริงงงงงงง เรากรี๊ดเลย เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วคนแบบนี้มีอะไรทั้งนั้นแหละ แต่คนจะไปติดภาพที่มองภายนอก เหมือนเรา คนติดภาพความฮา ทั้งที่จริงๆ ธุรกิจที่เราทำอยู่ตอนนี้ซีเรียสหมด อย่างบริษัทนางแมวป่า ซึ่งปีนี้เข้าปีที่ 10 เป็นเอเจนซี่ที่ครอบคลุมทุกด้านของออนไลน์มีเดีย รายการที่เป็น Edutainment เช่น Dr.Smith รายการเกี่ยวกับสุขภาพที่ย่อยง่าย ส่วน Opal Law Firm มาจากปมชีวิตของเราเองที่ไม่เกตเรื่องกฎหมายจนถูกโกงบ่อยมากเรื่องเอกสารสัญญา ก็เลยทำรายการกฎหมายที่เอาเรื่องยากมาเล่าให้เข้าใจง่าย หรือแม้แต่สบู่โอปโซพที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะขายแค่ในร้านกาแฟ เราก็ทำจริงจังโดยไปขอให้กระทรวงพาณิชย์มาตรวจโรงงานและบริษัท จนได้เป็น Top Thai Brand ตอนนี้เน้นการส่งออกต่างประเทศเป็นหลัก



WATCH




     อลิน-อลันเข้าโรงเรียนแล้ว โอปอล์ก็ต้องอยู่ในกรุ๊ปไลน์ผู้ปกครองแล้วสิ

     (ยิ้มหวาน) ก็ต้องมี

 

     ถามกว้างๆ แทนคุณพ่อคุณแม่ทุกคนเลยแล้วกัน รับมือกับเรื่องราวดราม่าต่างๆ ในกรุ๊ปไลน์ผู้ปกครองอย่างไรดี

     เราก็เลือกใช้เพื่อเป็นการรับทราบการประกาศและข่าวสารต่างๆ แค่นั้น โชคดีที่โรงเรียนลูกเรา เราเลือกแล้ว เราวนหาโรงเรียนให้ลูก เอ๊ะ ไม่สิ ใช้คำว่าพี่โอ๊ควนละกัน (หัวเราะ) พี่โอ๊ควนหาโรงเรียนตั้งแต่ท้องได้ 2 เดือน ค่อนข้างระวังเพราะรู้สึกว่าสิ่งที่เราให้ลูกได้คือการศึกษา ที่เหลือเราจะให้เขาใช้ชีวิตแล้ว แต่ในช่วงต้นของชีวิตก็เลือกสิ่งที่ดีที่สุด เราเลือกโรงเรียนที่มีหลักสูตรที่ดี ไปเรียนต่อที่อื่นได้ง่าย เป็นโรงเรียนเล็กๆ ครูมาจากอังกฤษทั้งหมด ใส่ใจนักเรียนและไม่แบรนด์ ศิษย์เก่าที่เรารู้จักทุกคนไม่ใช่เด็กฟุ้งเฟ้อ เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราต้องสร้างให้เป็นภูมิคุ้มกันของลูกก็คือให้เขามีชีวิตที่เหมาะสมกับช่วงวัย บางทีมีคนเข้ามาด่าในไอจีว่าทำไมไม่ทำผมดีๆ ให้ลูก ทำไมไม่ให้แต่งตัวสวยๆ เหมือนคนอื่น แต่เรารู้สึกว่าเด็กคือเด็กน่ะ เดี๋ยวสัก 14-15 ลูกเราก็จะหันมาสนใจดูแลตัวเอง แต่ตอนนี้การที่ปล่อยให้ลูกผมยุ่งหรือว่าหน้าคลุกทรายไปเลยมันคือการได้เป็นเด็กจริงๆ เราอยากให้เขาใช้ชีวิตให้เต็มที่ อยู่ในโรงเรียนซึ่งไม่ได้ให้ค่ากับความเป็นเซเล็บของเรา ซึ่งแฮปปี้มาก เราไม่ได้อยากให้ลูกมีเพื่อนเป็นเซเล็บ หรืออยู่แต่ในแวดวงที่แคร์แบรนด์เนมมากๆ ดังนั้นโรงเรียนที่เลือกให้ผู้ปกครองก็จะเหมือนเรา คือตื่นเช้ารีบไปส่งลูกแล้ววิ่งไปทำงานต่อ และไม่ต้องแต่งตัวสวยๆ เพื่อไปอวดกัน

     ในฐานะคุณแม่ที่มีลูกสาว อยากให้ความคาดหวังของสังคมไทยที่มีต่อผู้หญิงในอนาคตเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง

     สิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกว่าเป็นบทเรียนในวัยใกล้ 40 ของเราคือ การพยายามเปลี่ยนสังคมเป็นไปได้ยาก ดังนั้นต้องเปลี่ยนที่เรา ทั้งในฐานะผู้หญิงและแม่ สิ่งที่คิดว่าเราจะสอนลูกคือถ้าเราย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ผู้หญิงตั้งแต่อยุธยาไล่ลงมา บางคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้หญิงร้าย เป็นหญิงชั่วในสังคมไทยตอนนั้น มองกลับไปด้วยบริบทปัจจุบันแล้วเราจะสงสัยว่าเขาชั่วตรงไหน บางคนเขาโดนฉุดไปแล้วเขาแค่หนีกลับมา ชั่วตรงไหน หรือว่าวันทองต้องทนอยู่กับขุนช้างตลอดไปเหรอ ก็ไม่ได้รักน่ะ ดังนั้นผู้หญิงที่โดนตีตราว่าเป็นหญิงชั่วอาจเป็นแค่ผู้หญิงที่เลือกที่จะใช้ชีวิตของตัวเอง ซึ่งในบางครั้งมันไม่ได้ทำให้ใครลำบากเลยด้วยซ้ำ แต่ในบริบทสังคมไทยมันจะมีญาติ มีป้าข้างบ้านที่พร้อมตัดสิน ซึ่งในความคิดปอล์ เมื่อลูกโตขึ้น ปอล์ไม่รู้ว่าสังคมจะเปลี่ยนเป็นแบบไหนหรือว่าค่านิยมแบบไหนจะหมดไป แต่สิ่งที่เราจะสอนลูกสาวเราคือลูกต้องเคารพตัวเอง

     ในวัยนี้เราเจอเพื่อนที่แต่งแล้วหย่ามากมาย พอจะหย่า ครอบครัวไม่ให้หย่า สังคมก็บอกว่าอย่านะ ซึ่งเราคิดในใจว่าแล้วไง ถ้าไม่หย่าก็คือต้องทนไปจนตายเพื่อสังคม ถูกไหม แล้วสังคมคือใคร กลับไปเหมือนที่คุยกันเรื่องดราม่าความสวยช่วงแรก ชาวเน็ตคือใคร ชาวเน็ตแห่ ชาวเน็ตขุด ชาวเน็ตคือใคร ระบุชื่อมาซิ (ตบโต๊ะ) ดังนั้นเราจะสอนลูกว่าให้เคารพตัวเอง ซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง ถ้าเขารักใครสักคน เราอาจจะให้เขาลองใช้ชีวิตด้วยกันก่อนแต่งงาน เพราะเราไม่ใช่แม่ที่รู้สึกว่าลูกต้องเทิดทูนความบริสุทธิ์ไว้ เพราะเมื่อแต่งงานไปแล้วอยู่ด้วยกัน 24 ชั่วโมง ถ้ารายละเอียดบางอย่างมันไม่ได้ ไม่ตรงกัน มันจะบ้าได้เหมือนกันนะ เพราะฉะนั้นก่อนแต่งกับใครดูนานๆ ลองใช้ชีวิตด้วยกันก่อน ถ้าได้...แต่ง ถ้าไม่ได้...หยุด อย่าทำอะไรเพียงเพราะสังคมบอกว่ามันดี ในวงเล็บ ตราบใดที่ไม่ผิดศีลธรรมนะ ตอนนี้สิ่งที่เราสอนลูกคือศีล 5 เพราะศีล 5 คือความปกติ ดังนั้นถ้าเราถือศีล 5 ครบ สิ่งใดที่เกิดขึ้นเราจะไม่กังวล ชาวเน็ต ป้าข้างบ้านจะมาบังคับให้เรารีบเรียนจบ แต่งงาน มีลูกไม่ได้แล้ว เราจะเดินไปตามจังหวะของเราได้อย่างมั่นคง

     ถ้าเราค้นหาตัวเองเจอ เคารพตัวเอง ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไรเราก็จะรู้ว่าก็เราเป็นแบบนี้ พอเข้าใจว่าเราต่างจากคนอื่น เราก็จะเข้าใจในความแตกต่างของคน แล้วเราก็จะเข้าสู่โหมดไม่ตัดสินใครเลย และเวลาใครตัดสินเรา เราก็จะยิ้มๆ คิดว่าทำไมเขาโลกแคบจังเลย แต่เราก็ยังยิ้มเพราะรู้ว่าเราเปลี่ยนโลกไม่ได้ แต่เปลี่ยนมุมที่เราจะมองโลกได้...แล้วมันก็ง่ายเชียว

 

สามารถติดตามบทสัมภาษณ์และแฟชั่นเซตเต็มทั้งหมดได้ที่ นิตยสารโว้กประเทศไทย ฉบับเดือนตุลาคม 2562 วางแผงแล้วทุกแผงหนังสือทั่วประเทศ

WATCH