CELEBRITY

'Midnight Sun' คุยกับ เบลล่า ธอร์น และ แพทริค ชวาร์เซเน็กเกอร์ คู่จิ้นคู่ใหม่แห่งปี 2018

อีกหนึ่งหนังรักโรแมนติกที่คุณห้ามพลาด! #VogueFlash

     จากหนังญี่ปุ่นเรื่อง Song to the Sun (หรือในชื่อญี่ปุ่นคือ Taiyo no Uta) กลายมาเป็น Midnight Sun เรื่องราวเกี่ยวกับความรักอันสะเทือนอารมณ์ ความฝันที่สูญสลาย และการยอมรับความจริง Midnight Sun ภาพยนตร์แนวโรแมนติก-ดราม่า นำเสนอเรื่องราวของ เคธี่ ไพรซ์ (เบลล่า ธอร์น)สาวน้อยวัย 17 ปี ผู้ต้องหลบเร้นตนเองจากสังคมอันเนื่องมาจากอาการป่วยด้วยโรคที่ยากจะรักษา ซึ่งแสงอาทิตย์แม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถคร่าชีวิตเธอได้ ทำให้ในช่วงกลางวัน เธอต้องเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน จะออกมาสู่โลกภายนอกก็เฉพาะในยามที่ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว โดยเธอมักจะหยิบกีต้าร์ไปนั่งร้องเพลงให้ผู้โดยสารที่ผ่านไปมาบริเวณสถานีรถไฟได้ฟังอยู่เป็นประจำ จนกระทั่งค่ำคืนหนึ่ง พรหมลิขิตดลบันดาลให้เธอได้รู้จักกับ ชาร์ลี รี้ด (แพทริค ชวาร์เซเน็กเกอร์) อดีตนักกีฬาหนุ่มหล่อของโรงเรียนมัธยม ผู้ที่เธอแอบปลื้มเขาอยู่ข้างเดียวมานานปี และเริ่มต้นผูกสายสัมพันธ์ทางใจอันเหนียวแน่นระหว่างกันตลอดช่วงซัมเมอร์อันแสนสุข โดยที่เคธี่ไม่ยอมปริปากบอกเล่าอาการเจ็บป่วยของตนให้อีกฝ่ายได้ล่วงรู้แม้แต่น้อย…ต่อไปนี้คือบทสัมภาษณ์พิเศษของว่าที่คู่จิ้นคู่ใหม่แห่งฮอลลีวู้ด หนึ่งนั้นคือ สาวน้อย เบลล่า (คนละคนกับออเจ้าของบ้านเรานะ!) สาวสวยน่ารัก สองคือลูกชายของอดีตคนเหล็กนามสกุลคุ้นอย่าง แพทริก ชวาร์เซเน็กเกอร์

ได้ยินมาว่าตัวละครของคุณ เคธี่ ไม่เหมือนเด็กสาวคนอื่นๆ เพราะอะไร? มันทำให้หนังเรื่องนี้ต่างจากหนังรักเรื่องอื่นๆ อย่างไรบ้าง?

ธอร์น: เคธี่ป่วยเป็นโรคที่หาได้ยากซึ่งเกิดขึ้นได้แค่เพียงหนึ่งในล้าน เป็นโรคแพ้แสงแดด (Xeroderma Pigmentosum) ตัวละครที่ฉันรับบทต้องใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้านตลอดเวลา เติบโตขึ้นมาในห้องนอน ไม่สามารถออกไปรับแสงแดดภายนอกได้ เพราะการทำแบบนั้นหมายถึงเธอจะต้องตายสถานเดียว! เธอแอบหลงรักหนุ่มหล่อข้างบ้านมาตลอดชีวิต ซึ่งในคืนหนึ่งที่ได้พบกันก็เกิดปิ๊งกันทันที กลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวความรักที่ยิ่งใหญ่ งดงาม และน่าหลงใหล สิ่งที่น่าทึ่งอย่างหนึ่งของหนังเรื่องนี้คือ การที่ตัวละครค่อนข้างมีความไร้เดียงสาอย่างมาก ความรักที่เคธี่มีต่อชาร์ลีนั้นเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ เนื่องจากเธอแอบเฝ้ามองเขาอยู่ฝ่ายเดียวมานานตลอดหลายปี หนังเรื่องนี้ไม่เหมือนหนังรักเรื่องอื่นๆ ตรงที่ความรู้สึกของเคธี่ไม่มีเรื่องเพศมาเกี่ยวข้อง เธอเป็นเพียงเด็กสาวธรรมดาที่มอบหัวใจให้หนุ่มหล่อข้างบ้าน ผู้ที่เธอเชื่อว่าคงไม่มีวันได้ทำความรู้จักกับเขาเป็นอันขาด

แล้วสำหรับตัวละครของคุณล่ะแพทริค คุณคิดว่า ชาร์ลี ตัวละครของคุณมีอะไรที่โดนใจสาวน้อยอย่างเคธี่?

ชวาร์เซเน็กเกอร์: ผมว่ามันตรงข้ามเลยนะ เคธี่ต่างหากที่โดนใจชาร์ลี ก่อนหน้าจะได้พบเคธี่ ชาร์ลีกำลังอยู่ในภาวะสับสนยุ่งยากใจ เขากำลังไม่แน่ใจในจุดที่กำลังยืนอยู่เนื่องจากชีวิตที่เขาวางแผนมาอย่างดิบดีโดยตลอดได้ก้าวมาถึงจุดเปลี่ยน ซึ่งทำให้เขาต้องพยายามคิดทบทวนว่าควรจะก้าวต่อไปทางไหนดี แต่แล้วเขาก็ได้พบกับสาวน้อยแสนสวยผู้ดึงสติของเขาให้กลับคืนมา ด้วยการช่วยให้เขาค้นพบสิ่งที่มีความหมายมากที่สุดในชีวิตอย่างแท้จริง ความที่เขาเป็นนักกีฬา เป็นหนุ่มหล่อในโรงเรียนที่ใครๆ หลงเสน่ห์ ทำให้ทุกคนดูออกในทันทีว่าเขาจะเลือกสาวคนใดมาเป็นแฟนก็ได้ นั่นคือสิ่งที่ระบุไว้ในชัดเจนในบทหนัง แต่ก็มีหลายสิ่งที่ไม่ได้ระบุไว้ แต่มันจะค่อยๆ เกิดขึ้นมาเองเมื่อเขาได้เจอเคธี่ ซึ่งช่วยให้เขาเกิดความเชื่อมั่นในตัวเองจนสามารถค้นพบตัวตนอันแท้จริงในที่สุด ถึงตอนนั้นเขาก็ผูกพันเหนียวแน่นกับเคธี่ จนต้องการจะสำรวจโลกนี้ไปพร้อมๆ กับเธอ

อะไรที่ทำให้พวกคุณตัดสินใจเข้ามาร่วมทำงานใน Midnight Sun?

ธอร์น: สิ่งที่ดึงดูดใจให้ฉันอยากเล่นบทนี้ คือ ฉันอยากเป็นคนเล่าเรื่องที่ยังไม่เคยมีใครเคยเล่ามาก่อน คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักโรคนี้ ฉันจึงอยากถ่ายทอดความรู้สึกของตัวละครที่ถูกปิดกั้นจากโลกภายนอก และไม่เคยได้ออกไปพบเจอแสงตะวันเลยสักครั้งในชีวิต ออกมาให้ผู้ชมได้สัมผัส

ชวาร์เซเน็กเกอร์: ผมแทบไม่เสียเวลาคิดในการตอบตกลงร่วมแสดงหนังเรื่องนี้เลย เหตุผลแรกคือผมหลงรักบทหนังเรื่องนี้ซึ่งว่าเรื่องราวของความรัก เหตุผลถัดมาคือการที่ตัวละครที่ผมรับบทสามารถแก้ปัญหาในชีวิตตนเองด้วยการมอบชีวิตใหม่ให้แก่เคธี่ ส่วนเหตุผลสุดท้ายคือการที่เบลล่ามาร่วมแสดงในหนังเรื่องนี้ด้วย เราสองคนเคยรู้จักกันมานาน ก่อนหน้าที่ผมจะได้รับการติดต่อให้มาเล่นหนังเรื่องนี้ ในวันที่ผมไปออดิชั่นบท ทีมงานบอกให้ผมทดสอบบทกับเบลล่า ซึ่งมันออกมาดีมาก เบลล่ากับผมต่างก็เข้ากันได้ดี จนเราทั้งคู่ต่างก็คิดตรงว่าเป็นโอกาสได้ทำหนังรักดีๆ เรื่องหนึ่งด้วยกัน

พวกคุณรู้จักกันมาก่อนหน้านี่อยู่แล้ว การทำงานด้วยกันในเรื่องนี้มันยิ่งทำให้พวกคุณสนิทกันมากขึ้นไหม? การร่วมงานครั้งนี้เป็นอย่างไร?

ชวาร์เซเน็กเกอร์: แน่นอน เบลล่าเป็นคนร่าเริงสุดๆ เรากลายเป็นเพื่อนสนิทกันไปเลย เธอเป็นคนคุยง่าย เข้ากับคนง่าย แถมยังเป็นคนตลก มีเสน่ห์ ไม่ถือตัว และมีนิสัยเฮฮาสุดๆ เธอสวมวิญญาณเป็นเคธี่ได้น่าประทับใจมาก เป็นนักแสดงที่ใครๆ ก็อยากร่วมงานด้วย ผมเคยเห็นแต่ด้านตลกเฮฮาของเบลล่าอย่างเดียว แต่หลังจากออดิชั่นผมได้รู้จักเธอในด้านที่เป็นคนเอาจริงเอาจังกับงานการแสดงแบบสุดๆ ซึ่งทำให้ผมนับถือเธอทั้งในแง่ความเป็นนักแสดง ความเป็นมนุษย์และความเป็นเพื่อนอย่างมาก เธอเพื่อนร่วมงานที่สุดยอดจริงๆ

ธอร์น: ในกองถ่ายต่างก็คอยดูเราสองคนพูดจาหยอกล้อ และพากันหัวเราะสนุกสนาน ยิ่งมีแพทริคเข้ามาร่วมวงเสริมนั่นเสริมนี่ด้วยก็ยิ่งเฮฮา ถือเป็นหนึ่งในกองถ่ายหนังที่ประทับใจฉันมากที่สุดตั้งแต่ได้เล่นหนังมาฉันชอบที่ได้ทำงานกับแพทริค เขาเป็นคนเก่ง เป็นคนสนุกสนานเฮฮา และยังเป็นนักแสดงที่มีพรสวรรค์ด้วย พูดง่ายๆคือ ทั้งหล่อ-เก่ง-เท่ ซึ่งในโลกนี้มีอยู่ไม่กี่คนหรอกที่จะมีคุณสมบัติครบเครื่องแบบนี้ แต่แพทริคมีคุณสมบัติเหล่านั้น แม้มันจะฟังดูซ้ำซากไปหน่อย แต่ฉันก็อยากพูดว่า เขาเป็นนักแสดงที่มีอนาคตยาวไกล

ชวาร์เซเน็กเกอร์: ขอบคุณที่ชมนะ

ธอร์น: ได้เสมอ

พวกคุณต้องเตรียมตัวอะไรเป็นพิเศษไหมเพื่อรับบทในเรื่อง?

ชวาร์เซเน็กเกอร์: ผมว่ายน้ำสัปดาห์ละสี่วัน รุ่นพี่ของผมที่ยูเอสซีซึ่งเคยเรียนมัธยมมาด้วยกันยอมมาซ้อมว่ายน้ำกับผมทุกเช้า คอยดูแลให้ผมฝึกซ้อมตามตารางอย่างเคร่งครัด ด้านการควบคุมน้ำหนัก ผมต้องกินอาหารในปริมาณครึ่งเดียวของที่เคยกินปรกติ ซึ่งคนที่รู้จักผมต่างก็รู้ดีว่าผมเป็นคนกินเก่งมากๆ และการไปว่ายน้ำก็ช่วยได้มาก พ่อผม (อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์) ช่วยแนะนำผมเยอะเลย เขาบอกว่า ‘กองถ่ายนี้จะกลายเป็นครอบครัวของลูก พวกเขาคือคนที่ลูกต้องพึ่งพาอาศัย พ่อจะพูดประมาณว่า...งานของลูกคือเข้าไปในกองถ่ายและทำตัวให้สมกับความเป็นนักแสดง ผู้กำกับคือคนที่จะอยู่คอยช่วยให้ลูกได้ไปอยู่ในจุดที่ลูกต้องการจะเป็น และยังมีช่างภาพที่คอยดูแลภาพที่ถ่ายออกมาให้ดูสวย อย่าลืมว่าลูกมีผู้กำกับภาพ ที่จะคอยจัดแสงให้ลูกออกมาดูดี เพราะฉะนั้น ลูกก็แค่ไว้ใจให้ทีมงานทุกคนได้ทำหน้าที่ของเขาอย่างเต็มที่ เพื่อให้ทุกอย่างมารวมกันออกมากลายเป็นหนังที่ดี’

ธอร์น: หัดร้องเพลงค่ะ บทเพลงเป็นส่วนสำคัญของหนังเรื่องนี้อย่างแท้จริง ตอนอ่านบทครั้งแรก ฉันไม่เข้าใจว่าดนตรีมีความสำคัญต่อเคธี่ได้ยังไง ไม่เข้าใจว่าเธอเผยความรู้สึกทุกสิ่งอย่างผ่านบทเพลงที่เธอเขียน จนกระทั่งฉันได้ยินเพลงที่ฉันต้องร้องในหนัง ตอนนั้นฉันร้อง ‘ว้าว’ ออกมาเลย เพราะมันทำให้ฉันเข้าใจชีวิตของเธอได้มากขึ้น ว่าบทเพลงพวกนี้แหละคือตัวตนแท้จริงของเธอ ยิ่งสก๊อตต์มาอธิบายให้ฟังอีก ก็ยิ่งทำให้ฉันเข้าใจความเป็นมาเบื้องหลังบทเพลงเหล่านี้มากขึ้นพูดกันตามตรง ฉันไม่ชอบร้องเพลงเท่าไหร่นัก แต่สก๊อตต์ก็ยืนยันว่าฉันต้องร้อง ทั้งที่ฉันไม่เคยร้องเพลงแนวบัลลาดมาก่อน เลยเหมือนจะสติแตกตอนเข้าไปในห้องอัดเสียง แต่สก๊อตต์กับทีมโปรดิวเซอร์ก็ช่วยกันกล่อมให้ฉันสงบลงได้



WATCH




ฉากไหนในเรื่องที่หินมากที่สุดสำหรับพวกคุณ?

ชวาร์เซเน็กเกอร์: ในหนังก็มีหลายฉากที่ผมต้องเล่นคนเดียว อย่างฉากนั่งอ่านจดหมายซึ่งเป็นฉากที่ต้องใช้อารมณ์ในการแสดงอย่างมาก ผมก็ต้องพยายามนึกถึงเรื่องเศร้าๆ ที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเองจริงๆ เพื่อช่วยในการแสดง แต่ถึงที่สุดแล้ว คนที่ช่วยผมได้มากที่สุดคือสก๊อตต์ ผู้กำกับหนังเรื่องนี้ ซึ่งใช้วิธีการดึงอารมณ์ของผมออกมาด้วยการคุยถึงเรื่องต่างๆ จนทำให้ผมเกิดความรู้สึกอย่างที่ตัวละครรู้สึกได้เอง

ธอร์น: ฉากที่เคธี่พูดคุยกับพ่อ มันเป็นฉากที่แสนเศร้า ตอนถ่ายทำฉากนั้น ฉันคิดอยู่ตลอดเวลาว่า ‘ฉันน่าจะมีโอกาสได้กล่าวคำอำลากับพ่อก่อนที่ท่านจะจากไป’ การที่ฉันเสียพ่อไป (ด้วยอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซค์ในปี 2007) ทำให้ฉันใกล้ชิดสนิทสนมกับแม่มากๆ ความรักความผูกพันระหว่างเคธี่กับพ่อ (ร็อบ ริกเกิ้ล) ในหนังจึงแทบจะเป็นพิมพ์เดียวกันกับความรักความผูกพันที่ฉันมีต่อแม่ ทุกครั้งที่ฉันอ่านบทหนังเรื่องนี้ ฉันร้องไห้ตลอด ขนาดไปนั่งย้อมสีผมในร้านแล้วเปิดบทหนังเรื่องนี้อ่านในโทรศัพท์ ฉันยังร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร จนต้องตวาดตัวเองว่า ‘เป็นบ้าเป็นบอไปแล้ว!’ เพราะฉะนั้น ความรักความผูกพันระหว่างพ่อกับลูกสาวจึงมีความสำคัญต่อหนังเรื่องนี้สุดๆ ฉากหนึ่งที่คนดูจะได้เห็นในหนัง

คุณคิดว่าแฟนๆ จะได้อะไรกลับไปจากการชมหนังเรื่องนี้

ธอร์น: เรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้น บางทีก็เพื่อสิ่งดีๆ ที่จะตามมา และบางครั้งเรื่องร้ายๆ ก็อยู่กับเราได้ไม่นาน ฉันคิดว่านั่นคือสิ่งที่หนังเรื่องนี้ต้องการจะบอกแก่คนดู หนังเรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องราวความรักโรแมนติกที่แสนเศร้า แต่เป็นหนังที่มีความรู้สึกลึกซึ้งบางอย่างซ่อนอยู่ และฉันหวังว่ามันช่วยชี้ทางสว่างให้แก่ผู้คนได้

ชวาร์เซเน็กเกอร์: หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่ไม่มีใครเหมือน แถมยังมีวิธีการเล่าเรื่องที่ดีด้วย ก็ไม่รู้สินะ...แต่ถ้าชีวิตนี้คุณเคยรักใครสักคนล่ะก็ เรื่องราวในหนังเรื่องนี้จะทำให้คุณรู้สึกสะท้านสะเทือนใจได้อย่างแน่นอน

WATCH