CELEBRITY

เปิดบทสัมภาษณ์ 'เจมส์-จิรายุ ตั้งศรีสุข' จากคำสบประมาทสู่คำยกย่อง ขึ้นแท่นพระเอกแถวหน้าของไทย

"ผมอยากเป็นเอนเตอร์์เทนเนอร์์จริิงๆ ที่่ใครเจอก็หัวเราะ เฮฮา มีความสุุข แล้้วก็็อยากเป็นแรงบันดาลใจให้ใครๆ อีีกหลายๆ คนด้้วยครัับ"

นายแบบ: จิรายุ ตั้งศรีสุข

ช่างภาพ: ณัฐ ประกอบสันติสุข

สไตลิสต์: ตะวัน ก้อนแก้ว

แต่งหน้า: กานต์นิพัทธ์ สนั่นวงศ์

ทำผม: ไพบูลย์ เจนจรัสวรรธ

 

ถ้าพูดถึงผลงานของเจมส์ หลายคนคงนึกถึงภาพตัวละครใจดีกัน เช่น บทของอาซาผู้แสนดีใน กรงกรรม คุณหมอใจดีในเรื่อง มาตาลดา ที่ทำให้เขาได้รางวัลดารานำชายดีเด่นจากเวทีโทรทัศน์ทองคำ ครั้งที่ 38 เป็นการการันตีผลงานการแสดง รวมถึงตำแหน่งในวงการแฟชั่น House Ambassador ของ Dior และล่าสุด Friend of Omega ซึ่งเป็นผู้ชายคนแรกของประเทศไทย ทั้งหมดนี้ยืนยันได้ถึงคุณภาพในตัวผู้ชายคนนี้ ผู้ที่เรียกตัวเองว่าเอนเตอร์เทนเนอร์

 

Vogue: 11 ปีในวงการบันเทิงของเจมส์ประทับใจช่วงไหนบ้าง

James: จริงๆ มีหลายตอนมากครับ แต่ถ้าจะให้ยกขึ้นมาพูดตอนนี้เลยผมคิดว่าตอนแรกครับ ตอนเปิดเรื่อง (ยิ้ม) ผมว่าตัวต้นเรื่องเป็นอะไรที่สนุกมากครับ เพราะเรายังนึกไม่ออกว่าละครเรื่องนี้มันจะดำเนินมาเป็นแบบนี้ คือผมมาจากต่างจังหวัด แล้วอยู่ดีๆ ก็ได้รับบทคุณชายในเรื่องแรก กลายเป็นที่รู้จักในเรื่องนั้นเลย นอกจากการเป็นที่รู้จักแล้วสิ่งที่เข้ามาในชีวิตก็ค่อนข้างแปลกนิดหน่อยเพราะชีวิตปกติผมเป็นเด็กต่างจังหวัด ที่นั่นไม่ได้มีอะไรมาก เป็นชีวิตธรรมดา เรียนจบม.6 แล้วก็เข้ามากรุงเทพฯ ได้ทำงาน ได้เจอผู้คน อยู่ดีๆ มันก็เหมือนเปิดโลกไปเลย ผมว่ามันสนุกมากในตอนนั้น

V: รู้สึกอย่างไรกับชื่อเสียงที่เข้ามาเพียงชั่วข้ามคืนจากบทคุณชายพุฒิภัทรในละครเรื่อง สุภาพบุรุษจุฑาเทพ

James: ตอนนั้นผมยังงงๆ อยู่เลยครับ เอาจริงๆ ผมยังไม่รู้เลยว่าตัวเองผ่านช่วงเวลานั้นมาได้อย่างไร สิ่งที่ผมเจอก็คือมีคนมากรี๊ด มาตามเรา ทำให้เรารู้สึกว่าอ๋อ...มันเป็นแบบนี้เองเหรอ เรารู้สึกเซอร์ไพรส์มากๆ ที่มีคนมานั่งรอเรา มาสนับสนุนเรา ทำไมพวกเขาถึงทำให้เราขนาดนี้ ช่วงนั้นก็จะงงๆ หน่อยครับ

V: ทำงานมา 11 ปี มีอะไรที่ยังไม่เคยทำอีกไหม

James: ผมว่าค่อนข้างน้อยครับ คือหมายความว่าเราเคยมีโอกาสไปลอง แต่ผมไปลองในฐานะที่ไม่ใช่งานหลักนะครับ ได้ไปลองทำหลายอย่าง แต่ผมว่าพอมันดำเนินมาถึงเวลานี้ผมค่อนข้างเห็นภาพตัวเองชัดเจนขึ้น และพยายามจะทำสิ่งนี้ให้ทุกคนเห็นคือการเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ คือไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทของตัวละคร บทบาททางสื่อออนไลน์ หรือคอนเทนต์ต่างๆ ที่ออกมาเพื่อให้คนได้ดู ผมว่าสิ่งที่ผมอยากทำคือการเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ เพื่อให้ทุกคนมีความสุขและมีรอยยิ้ม เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าจะชัดเจนที่สุดแล้วครับ

V: ประสบการณ์ที่เจมส์ได้เรียนรู้

James: ผมว่าโดยรวมทั้งหมดมันหลอมรวมออกมาเป็นผม ไม่ว่ามันจะได้ประโยชน์หรือไม่ในมุมมองของคนอื่น สุดท้ายแล้วผมว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ค่อยๆ สร้างรูปร่างขึ้นมาจนเป็นผมในวันนี้

V: ทางแยกและจุดเปลี่ยนในชีวิตเจมส์

James: ย้อนกลับไปประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ต่างประเทศเริ่มเปิด จีนและประเทศอื่นๆ เริ่มสนใจประเทศไทย ผมต้องตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไร สุดท้ายผมเลือกที่จะไม่ไป ไม่ใช่ว่าผมแอนตี้หรืออะไรนะครับ คือต้องเข้าใจก่อนว่าการไปทำงานต่างประเทศต้องอยู่ที่นั่นอย่างน้อย 4-6 เดือนต่อปีเพื่อทำผลงานที่นั่น ซึ่งหมายความว่าผมก็จะหายไปจากที่นี่ครึ่งปี ผมเลยคิดว่าไม่ไปดีกว่า เพราะผมเป็นคนติดบ้าน แล้วก็ชอบสภาพแวดล้อมในประเทศไทยมาก รู้สึกว่าตัวเองอยู่ที่นี่แล้วแฮปปี้มากกว่า

ผมอยากให้ภาพความเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ของผมชัดเจนขึ้นครับ ผมอยากเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์จริงๆ ที่ใครเจอก็หัวเราะ เฮฮา มีความสุข แล้วก็อยากเป็นแรงบันดาลใจให้ใครๆ อีกหลายๆ คนด้วยครับ เช่น ช่วงนี้ผมบ้าออกกำลังกาย ผมเป็นเด็กเนิร์ดที่เวลาอินกับอะไรก็ต้องอินแบบสุดๆ ผมเลยอยากจะเอาความเนิร์ดของผมมาอธิบายในแนวตลก ให้คนเข้าใจง่ายขึ้น เผื่อว่าคนที่ได้รับสิ่งนี้จากผมไปจะได้แรงบันดาลใจและทำสิ่งดีๆ ให้กับชีวิตตัวเองบ้าง

 



WATCH




 V: มาตรฐานการทำงานของเจมส์และการเป็นนักแสดงที่ไม่เคยมีข่าวเสื่อมเสีย

James: จริงๆ ผมไม่ได้ตั้งมาตรฐานอะไรไว้เลยครับ (ยิ้ม) คือนิสัยผมช่วงแรกๆ ตอนที่เข้ามาใหม่ๆ อย่างปีแรกที่เราได้พูดกันไปในตอนแรก ผมกลัวมากเรื่องที่จะทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ดีหรือเสียใจ ผมพยายามเลี่ยงหลายอย่างมาก เลี่ยงสิ่งที่ไม่ดี คือเราไม่อยากทำผิดพลาดและเกิดอาการนอยด์ที่คนนั้นคนนี้มาตำหนิเรา แต่สุดท้ายก็มีมาอยู่ดีครับ ผมเข้าใจว่าเราไม่สามารถทำให้ทุกคนชอบเราได้ ผมแค่พยายามอยู่ในร่องในรอยของผมอย่างดีที่สุด ซึ่งผมว่ามันเป็นการหลีกหนีของผมมากกว่า (หัวเราะ)

V: คำวิจารณ์ที่นักแสดงทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ได้

James: ในช่วงแรกผมเป็นเยอะมาก ด้วยปกติของคนเรา เราจะเสพความทุกข์มากกว่าความสุขเสมออยู่แล้ว เวลาเราไล่อ่านคอมเมนต์ พอมีคนชมเราก็จะรู้สึกแฮปปี้ แต่พอเป็นคอมเมนต์ที่ด่าผมจะนอยด์มาก และพอเราอ่านแล้วเราไม่ได้แค่รู้สึกว่ามันไม่ดี เราก็จะยิ่งนอยด์ไปอีกว่ามันเป็นเพราะอะไรนะ เขาด่าเพราะเขาไม่เข้าใจหรือเปล่านะ หรือว่าเราแย่จริงๆ อย่างที่เขาพูด คือเราจะมีคำถามในหัวตามมาเรื่อยๆ จนสุดท้ายผมก็หาคำตอบไม่ได้ ตอนนั้นมันหนักสำหรับผมมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปทุกคนจะพูดกับผมว่าไม่ต้องไปสนใจ เอาจริงๆ มันทำยากนะครับที่ไม่ต้องไปสนใจคำวิจารณ์เหล่านั้น และยิ่งสำหรับคนที่เพิ่งเจอด้วย แต่คนที่อยู่ในวงการมาสักระยะจะรู้สึกว่า อ๋อ โอเค เราคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติที่ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงได้ สิ่งที่ผมทำในตอนนี้คือผมอ่านไม่จบ (หัวเราะ) หรืออ่านแต่ไม่คิดต่อ ให้มันผ่านไป ถ้าเป็นคอมเมนต์ที่จงใจใส่ร้ายจริงๆ ไม่ใช่ติเพื่อก่อ ถ้าติเพื่อก่อเราจะนำมาปรับปรุง นอกนั้นที่ไม่ได้ติเพื่อก่อผมก็อ่านไม่จบ (ยิ้ม)

V: ตอนนี้เราจะเห็นเจมส์จริงจังกับการออกกำลังกาย จุดเริ่มต้นมาจากไหน

James: ก่อนหน้านี้ประมาณ 8-9 ปีที่แล้วเคยเป็นพรีเซนเตอร์ของงานหนึ่งที่ต้องไปวิ่ง งานนั้นพอผมวิ่งเสร็จปุ๊บรู้สึกชอบทันที หลังจากนั้นผมก็วิ่งมาเรื่อยๆ จนมาถึงเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ผมไปวิ่งมาราธอนจบเป็นครั้งแรกในชีวิต (ยิ้ม) ที่ผมชอบการวิ่งเพราะผมทำอะไรได้หลายอย่างมากระหว่างวิ่ง เช่น ทำสมาธิ บางครั้งผมก็โฟกัสแค่การหายใจ บางทีก็ใช้เวลาตอนวิ่งคิดงานหรือฟังเพลง ผมว่ามันเป็นเวลาส่วนตัวที่ผมแฮปปี้มากในจังหวะที่เราก้าวเท้าออกไป เลยติดเป็นนิสัยที่ชอบการวิ่งครับ ล่าสุดผมเพิ่งไปจบฟูจิมาราธอนเป็นสนามแรก วิ่งไปชมวิวภูเขาไฟฟูจิไปรอบทะเลสาบคาวากุจิโกะ ตอนนั้นผมไปกับพี่แอน (แอน ทองประสม) ผมหลอกพี่แอนไป (หัวเราะ) วิ่งคู่กันไปกับพี่แอน ลากกันไปจนเข้าเส้นชัย พอจบปุ๊บผมกับพี่แอนคุยกันว่า โอเค เลิก! เราจะไม่วิ่งแบบนี้กันอีกแล้วนะ เราจะไม่เจอกันอีกแล้ว ตอนนั้นคือเกลียดมาก ตอนซ้อมเราก็ซ้อมกันหนักมาก คนที่วิ่งจะรู้ว่าตอนซ้อมมันโหดมากแค่ไหน ตอนไปวิ่งด้วยกัน 5 ชั่วโมงกับพี่แอนที่ฟูจิคือแทบจะไม่มีอะไรคุยกันแล้ว หลังจากนั้นประมาณ 2 อาทิตย์ ต่างคนต่างไปวิ่งโดยที่ไม่ได้นัดกัน อยู่ดีๆ ก็เจอกัน ผมถามพี่แอนว่า “แม่เอาไง” พี่แอนบอกว่า “เนี่ยกลับไปวิ่งมา แต่วิ่งแค่ 5 กิโล มันมีความสุขมากเลย หรือว่าเราจะไปเก็บกันต่อไหม” ตอนนั้นที่เจอผมก็ยังมีใจจะไปเก็บต่อนะครับ แต่มาวันนี้ล้มเลิกไปเรียบร้อย (หัวเราะ)

V: ภาพของพระเอกพลังบวกคือภาพที่ทุกคนเห็น จริงๆ เจมส์เป็นแบบนั้นไหม

James: ผมเป็นคนเงียบ แต่ถ้าอยู่ในหน้าที่การงานผมจะเป็นอีกแบบ จะเล่นมุกทำให้คนอื่นเฮฮา ถ้าอยู่กับคนที่สนิทมากๆ จังหวะเอนเตอร์เทนก็สามารถทำได้เลย แต่จังหวะปกติของชีวิตผมจะเป็นคนเงียบ

V: เป้าหมายชีวิตของเจมส์

James: ผมอยากให้ภาพความเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ของผมชัดเจนขึ้นครับ ผมอยากเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์จริงๆ ที่ใครเจอก็หัวเราะ เฮฮา มีความสุข แล้วก็อยากเป็นแรงบันดาลใจให้ใครๆ อีกหลายๆ คนด้วยครับ เช่น ช่วงนี้ผมบ้าออกกำลังกาย ผมเป็นเด็กเนิร์ดที่เวลาอินกับอะไรก็ต้องอินแบบสุดๆ ผมเลยอยากจะเอาความเนิร์ดของผมมาอธิบายในแนวตลก ให้คนเข้าใจง่ายขึ้น เผื่อว่าคนที่ได้รับสิ่งนี้จากผมไปจะได้แรงบันดาลใจและทำสิ่งดีๆ ให้กับชีวิตตัวเองบ้าง

 

WATCH