CELEBRITY

Harry Styles หนุ่มบอยแบนด์ในวันวานกับการเติบโตทางด้านดนตรีในฐานะศิลปินเดี่ยว

การเติบโตอย่างก้าวกระโดด

หากจะมีสักคนที่ก้าวผ่านขวบวัยของความเป็นวัยรุ่นสู่วัยผู้ใหญ่ได้อย่างน่าชม ชื่อของศิลปินหนุ่มจากเกาะอังกฤษผู้มีดีมากกว่าหน้าตาและเสียงร้อง หากหมายรวมถึงทักษะการแสดงที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้ใครอย่าง Harry Styles ก็จะต้องถูกพูดถึงขึ้น

 

Harry Edward Styles เกิดเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 1994 แพชชั่นด้านการร้องเพลงผลักดันให้เขาลงสมัครในรายการเฟ้นหานักร้องหน้าใหม่อย่าง The X Factor ด้วยอายุเพียง 16 ปี รายการที่ได้หัวหอกประจำถิ่นอย่าง Simon Cowell นั่งแท่นเป็นคณะกรรมการผู้กุมชะตาชีวิตของเด็กวัยรุ่นที่วาดฝันจะเป็นดาวแห่งวงการดนตรี หากเพราะรายการนี้ทำให้เขาได้พบกับอีก 4 หนุ่มน้อยวัยใสอายุใกล้เคียงกันอย่าง Niall Horan, Liam Payne, Zayn Malik และ Louis Tomlinson ที่จะกลายมาเป็นเพื่อนร่วมวงของเขาในอนาคตกับวงที่กุมหัวใจแฟนๆ ทั่วโลกอย่าง One Direction 

ภาพ (จากซ้ายไปขวา): Louis Tomlinson, Zayn Malik, Simon Cowell, Niall Horan, Harry Styles และ Liam Payne 

วันไดเรกชั่น บอยแบนด์สัญชาติอังกฤษ-ไอร์แลนด์ถ่ายทอดความเป็นป็อปวัยใสมาพร้อมเพลงฟังง่ายๆ ร้องตามได้ไม่ยาก ซึ่งหนุ่มแฮร์รี่ในขณะนั้นก็ดูจะเป็นเพียงวัยรุ่นคนหนึ่งที่มาพร้อมหน้าตาท่าทางขี้เล่นกับน้ำเสียงเพราะๆ เท่านั้น ไม่ได้ชัดเจนเรื่องตัวตนอย่างที่เราเห็นกันในปัจจุบัน หากการเดินทางของบอยแบนด์ที่กำลังรุ่งถึงจุดสูงสุดกลับก้าวมาถึงจุดแยกครั้งที่หนึ่งหลังเซน มาลิก ประกาศตัวลาออกจากวงในปี 2015 ด้วยเหตุผลที่ต้องการทำเพลงในแบบฉบับของตัวเอง หากเนื้อในไม่อาจสรุปได้ว่าแท้จริงแล้วการแตกคอครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะความเห็นด้านดนตรีที่แตกต่างกันหรือเพราะว่าอะไรกันแน่ แต่วันไดเรกชั่น ก็ยังเดินหน้าต่อด้วยสมาชิกเพียง 4 คนอีก 3 ปีหลังขาดสมาชิกคนสำคัญไป ก่อนเดินทางมาถึงทางแยกครั้งที่ 2 ที่ทุกคนตกลงปลงใจหยุดความเป็นหนุ่มน้อยในวันวาน เพื่อขอเริ่มต้นเดินตามทางในการก้าวสู่ความเป็นผู้ใหญ่และแยกย้ายกันตามหา “ตัวเอง” อีกครั้งหนึ่ง

 

โลกดนตรีของแฮร์รี่ไม่ได้หยุดลงเพียงแค่วันไดเรกชั่น อาจใช่เมื่อช่วงหนึ่งคุณรู้สึกว่าตัวเองอยากสดใสในแบบหนุ่มน้อยที่เพิ่งเริ่มออกเดตกับสาวที่คุณแอบรัก หากเมื่อเวลาหมุนผ่านการเติบโตของแต่ละคนก็ย่อมที่จะเปลี่ยนรูปรอยและเกิดความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจน วันไดเรกชั่นหล่อหลอมให้หนุ่มอังกฤษคนนี้เติบโตอย่างแข็งแรงและมีเสน่ห์ แม้ว่าฐานะนักร้องในวงจะหยุดไป หากการเริ่มต้นเป็นศิลปินเดี่ยวของเขากลับชัดเจนและเริ่มที่จะเปล่งประกายด้วยเอกลักษณ์และเสียงร้องอันโดดเด่นที่ใครๆ ต่างก็ต้องตกหลุมรัก

ภาพ: แฮร์รี่ สไตล์ส ไลฟ์ ออน ทัวร์ (Harry Styles Live On Tour)

หลังเงียบหายกันไป ปี 2017 แฮร์รี่กลับมาอีกครั้งพร้อมสลัดภาพลักษณ์ของหนุ่มน้อยวัยทีนจากรายการดิเอ็กซ์แฟคเตอร์ทิ้งอย่างไม่มีชิ้นดี กลายเป็นหนุ่มรูปงามที่ตอนนี้เขาค้นพบตัวเองแล้ว แฮร์รี่กับภาพบนเวทีด้วยเสียงทุ้มมีเสน่ห์กับการเล่นกีตาร์ที่ทำเอาแฟนๆ ถึงกับงงไปพักหนึ่งว่าเขาเล่นเป็นด้วยหรือ จนเกิดเป็นคำถามกันให้แซ่ดว่าอาจเป็นไนล์ ฮอแรน เพื่อนสมาชิกในวงเป็นผู้สอนเขาหรือเปล่า

 

ไม่เพียงแค่การเติบโตที่รูปร่างภายนอก หากพัฒนาการเกิดขึ้นให้เหล่าแฟนๆ ได้เห็นเป็นรูปธรรมทั้งเสียงร้อง การแต่งเพลง และลีลาการแสดงบนเวทีของเขานั้นเรียกได้ว่าก้าวกระโดด จากนักร้องแนวป็อปสดใสในวันวานพลัดสู่ Sign of the time ซิงเกิ้ลเปิดตัวในฐานะนักร้องเดี่ยวที่มาพร้อมกลิ่นอายความเป็นป็อปร็อค (Pop-Rock) อันได้อิทธิพลมาจากช่วงยุค 70s ผสมผสานด้วยซอฟต์ร็อค (Soft-Rock) และความเป็นบัลลาด (Ballad) เบาๆ อัลบั้มเดี่ยวเปิดตัวครั้งแรกของเขาได้รับการวิจารณ์เชิงบวกถึงขั้นที่ว่ามีกลิ่นอายความเป็น David Bowie และ Queen เลยทีเดียว ซึ่งนอกจากซิงเกิ้ลเพลงแรกในฐานะนักร้องเดี่ยวจะพาเขาทยานขึ้นสู่ชาร์ตเพลง Billboard Hot 100 ในลำดับที่ 4 ได้อย่างสวยงามแล้ว เพลงอื่นในอัลบั้มก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดีมากเช่นกันไม่ว่าจะเป็น Two Ghost, Ever since New York หรือ Kiwi



WATCH




ภาพ: แฮร์รี่ สไตล์ ระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์ Dunkirk

ในปีเดียวกันนั้นแฮร์รี่ได้มีโอกาสชิมลางโชว์ทักษะด้านการแสดงที่ติดมาโดยไม่รู้ตัวด้วยการรับบทบาทนายทหารภาคพื้นดินจากกองทัพอังกฤษจากภาพยนตร์เรื่อง Dunkirk เคียงบ่าเคียงไหล่คู่กับนักแสดงมากฝีมือทั้ง Cillian Murphy และ Tom Hardy ภายใต้การกำกับที่เฉียบขาดด้านการเล่าเรื่องอย่าง Christopher Nolan และแน่นอนเป็นอีกครั้งที่แฮร์รี่เก็บเกี่ยวเสียงชื่นชมจาก The Daily Telegraph ถึงฝีมือการแสดงที่สดใหม่และน่าทึ่ง

เครดิต: Daily News

เดินทางมาถึงปัจจุบันล่าสุดปี 2019 กับอัลบั้มที่สอง Fine Line ที่เราจะได้เห็นพัฒนาการที่ต่อเนื่องกับความเป็น “แฮร์รี่” อย่างเจนจัดมากขึ้น Lights Up เป็นซิงเกิ้ลเปิดตัวของอัลบั้มที่สองในแนวเพลงแบบไซเคเดลิกป็อป (Psychedelic Pop) ที่มีการผสมผสานด้วยเสียงอิเล็กทรอนิกส์สังเคราะห์แทรกลงไป เพลงนี้แฝงเรื่องราวความเข้มข้นของ “ความเท่าเทียม” ไว้อย่างเต็มเปี่ยม เพราะเป็นที่รู้กันมาตลอดว่านักร้องหนุ่มคนนี้สนับสนุนและผลักดันเรื่องราวของ LGTBQ มาโดยตลอด อย่างการขึ้นแสดงสดในคอนเสิร์ตที่เราจะได้เห็นเขาโบกธงสีรุ้งไหวๆ ไปทั่วเวที จึงไม่เป็นเรื่องน่าแปลกใจเท่าไหร่นักหากเราจะได้เห็นเรื่องราวเหล่านี้ถูกถ่ายทอดผ่านด้านดนตรีและแฟชั่นการแต่งตัว หากการผสมผสานความเป็นยุค 70s และความเป็น LGTBQ ของหนุ่มเลือดอังกฤษคนนี้กลับสร้างเสน่ห์ได้อย่างน่าทึ่ง

โครงสร้างเสื้อผ้าในยุค 70s เข้ากันอย่างกลมกล่อมทั้งสูทที่มีดีเทลบนตัวเสื้อซึ่งส่วนมากแล้วเขาเลือกใช้บริการแบรนด์ Gucci มาโดยตลอด พร้อมด้วยกางเกงเอวสูงปลายขาบานหรือที่เราเรียกกันว่า Flared สร้างลุคเท่เนี้ยบ หากบวกกับผมหยักศกยุ่งเหยิงของเขากลับส่งให้ทุกอย่างดูมีเสน่ห์ไปหมด ถึงขนาดแฟนๆ ต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “THERE'S NO STYLE THAT HARRY STYLES CAN'T PULL OFF” อาจฟังดูเป็นเรื่องจริง ปราการกั้นระหว่างเพศถูกทำลายลงอีกครั้งหลังนักร้องหนุ่มเลือกที่จะทาสีเล็บของเขาด้วยสีสันฉูดฉาดเพื่อสร้างคาแรกเตอร์และเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากนักร้องคนอื่นๆ หรือแม้แต่ภาพโปรโมตรายการเพลง Saturday Night Live ที่เจ้าตัวต้องขึ้นแสดงสดโปรโมตซิงเกิ้ลเพลงของเขา Watermelon Sugar เพลงในอัลบั้มที่ 2 ในชุดนักบัลเล่ต์กับกระโปรงทูทู่สีชมพูหวานที่สื่อถึงอิสระทางเพศได้อย่างชัดเจน

เครดิต: Samuel Bradley และThe Guardian

Fine Line เป็นอัลบั้มที่ 2 ที่ก้าวกระโดดขึ้นอีกครั้งหลังเปลี่ยนผ่านจากอัลบั้มแรก สะท้อนตัวตนที่ชัดเจนถึงความจัดจ้านและแพชชั่นที่เต็มเปี่ยมของเขาอันเกิดขึ้นจากการหลอมรวมความชื่นชอบในสไตล์เพลงของ Pink Floyd, Queen, The Beatle และ Shania Twain ทำให้เพลงของเจ้าหนุ่มอังกฤษคนนี้มีทั้งความสดใหม่และความคลาสสิกผสมปนเปกันไปอย่างลงตัว หากวันนี้แน่นอนว่าโลกทางดนตรีของแฮร์รี่ไม่ได้หยุดลงเพียงแค่ความเป็นป็อปร็อคหัวใจคลาสสิก หรือแง่มุมในด้านแฟชั่นที่จะหยุดเพียงแค่การทาเล็บและสวมกระโปรง เราเชื่อว่าทั้งหมดนี้คือบทเริ่มต้นการเดินทางบนโลกกว้างที่เขาพึ่งจะกดสวิตส์ในแบบ Light Up เพียงเท่านั้น

WATCH