ลองนึกภาพว่านั่งดูหนังแล้วไม่มีซาวด์หรือเพลงประกอบที่คอยสร้างอารมณ์ให้กับคนดูมันคงจะแปลกพิลึก การดูหนังส่วนสำคัญไม่ใช่แค่บท หรือเรื่องการส่งอารมณ์ของตัวละครเท่านั้น เพราะเสียงเพลงประกอบก็เป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญหลักๆ ที่ทำให้ภาพยนตร์แต่ละเรื่องมีรสชาติและอารมณ์ที่เข้าถึงคนดูได้อย่างแตกต่างกัน ที่เราพูดถึงเรื่องนี้กันก็เพราะโว้กประเทศไทยจะพาแฟนๆ ไปรู้จักกับอีกหนึ่งนักแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงและมากความสามารถคนหนึ่งที่เรา “ควรจะ” รู้จัก เพราะเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่เราชื่นชอบไม่ว่าจะเป็น The Lion King, Pirate of the Caribbean, Sherlock Holmes, The Dark Knight และอีกมากมาย ซึ่งโฉมหน้าของเจ้าพ่อเพลงประกอบภาพยนตร์คนนั้นคือ Hans Zimmer

 

2 กันยายน 1957 หนูน้อยชื่อ ฮันส์ ซิมเมอร์ ถือกำเนิดขึ้นที่เมือง Frankfurt ประเทศเยอรมนี แม้ในวัยเด็กที่ชื่นชอบเล่นเปียโนไม่ได้ทำให้เขาโดดเด่นเสียเท่าไหร่ หากเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นเขาย้ายมาปักหลักตั้งฐานอยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นเส้นทางการเป็นนักดนตรีของเขาโดยการเล่นคีย์บอร์ด หากไม่นานจากนั้นเขาได้มีโอกาสพบกับ Stanley Myers ผู้ที่ทำงานอยู่ในวงการแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ของฮอลลีวู้ด และเขาคนนี้ยังทำให้ฮันส์ได้รู้จักกับการผสมผสานเพลงจากวงออร์เคสตร้าเข้ากับดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ที่กลายมาเป็นสไตล์ส่วนหนึ่งในการทำเพลงของเขาจนถึงปัจจุบัน

ทั้งสองประพันธ์เพลงให้กับภาพยนตร์ร่วมกันหลายเรื่อง โดยมีเรื่อง The Last Emperor ในปี 1987 ที่สร้างชื่อเสียงให้กับฮันส์เพราะเขาชนะรางวัล Academy Award ในสาขา Best Original Score นั่นจึงเป็นเสมือนใบแจ้งเกิดในวงการภาพยนตร์ให้กับเขา ฮันส์เดินหน้าสร้างชื่ออย่างต่อเนื่องเมื่อปีต่อมาเขาแต่งเพลงประกอบให้กับภาพยนตร์เรื่อง Rain Man ของผู้กำกับ Barry Levinson และแน่นอนว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับความนิยมชมชอบและเสียงวิจารณ์ในแง่บวกไปหลายครั้งทำให้กวาดรางวัลจาก Academy Award ไปถึง 4 รางวัลรวดซึ่งหนึ่งในนั้นคือ Best Original Score และจากนั้นเป็นต้นมาเพลงประกอบในภาพยนตร์เรื่องดังที่เราเคยรู้จักล้วนแต่เป็นฮันส์ที่นั่งแท่นอยู่เบื้องหลังด้วยกันทั้งสิ้น วันนี้โว้กจึงขอรวบเอาเพลงประกอบภาพยนตร์คุ้นหูจากภาพยนตร์สุดดังมาให้ชมกันว่าจะมีเรื่องไหนบ้าง

 

เปิดทำเนียบภาพยนตร์ที่ ฮันส์ ซิมเมอร์ เป็นผู้ประพันธ์เพลงประกอบ

The Lion King (1994)

การ์ตูนในดวงใจใครหลายคนต้องยกให้ The Lion King จากค่าย Walt Disney Feature Animation ที่ฮันส์ได้มีส่วนร่วมเรียบเรียงเพลงบรรเลงทั้ง This Land, To Die For, Under the Stars และ King of Pride Rock ที่เรามักจะได้ยินคลอเป็นฉากหลังของภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวของสิงโตนักสู้ตัวน้อย ซิมบ้า และเหล่าผองเพื่อนสัตว์ป่า

Pearl Harbor (2001)

ภาพยนตร์โรแมนติกดราม่าผสมกลิ่นอายสงครามอย่าง Pearl Harbor ที่กำกับโดย Jerry Bruckheimer ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ฮันส์ได้นั่งแท่นเป็นคนประพันธ์เพลงประกอบให้ โดยเพลงบรรเลงที่ใช้ประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้จะผสมผสานด้วยความเศร้าของความรักระหว่าง Ben Affleck และ Kate Beckinsale ที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เกิดขึ้นที่อ่าว เพิร์ล ฮาร์เบอร์ พร้อมด้วยฉากลุ้นระทึกของการสู้รบเพื่อประเทศชาติ

Ron Howard’s Trilogy

สำหรับภาพยนตร์ภาคต่อโดยผู้กำกับ Ron Howard ที่ได้ฮันส์มาประพันธ์เพลงให้คือภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากหนังสือโดย Dan Brown อย่าง The Da Vinci Code (2006), Angels & Demons (2009) และ Inferno (2016) ที่ซาวด์ของเพลงจะมีความลึกลับ และลุ้นระทึกผสมปนเปกันไปท่ามกลางการตามล่าหาคนร้ายที่ได้ Tom Hank มารับบทเป็น ศ.แลงดอน ที่ต้องใช้ความรู้ด้านศาสนจักรเข้ามาช่วยเหลือ

Pirates of the Caribbean Series

เพลงธีมหลักที่ใช้เปิดตัวกัปตันโจรสลัด Jack Sparrow หรือ Johnny Depp ที่เราได้ยินกันบ่อยๆ นั้นมาจากฮันส์เป็นผู้เรียบเรียง ซึ่งนอกจากธีมหลักประกอบตัวละครแล้ว ฮันส์ยังประพันธ์เพลงประกอบฉากหลังของภาพยนตร์ชุด Pirates of the Caribbean ทั้งหมด 4 ภาคตั้งแต่ภาค The Curse of the Black Pearl (2003), Dead Man's Chest (2006), At World's End (2007) และ On Stranger Tides (2011)

The Dark Knight Trilogy

เรียกว่าเป็นคู่หูมหากาฬเพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ฮันส์จับมือร่วมงานกับผู้กำกับ Christopher Nolan ก็มักจะสร้างแต่ผลงานระดับพรีเมียมที่คว้ารางวัลทุกครั้ง สำหรับภาพยนตร์ชุด The Dark Knight ก็ได้ฮันส์มาประพันธ์เพลงธีมและเพลงประกอบภาพยนตร์ทั้ง 3 ภาคให้กับซูเปอร์ฮีโร่ในจักรวาล DC อย่าง Batman ในภาพยนตร์ Batman Begins (2005), The Dark Knight (2008) และ The Dark Knight Rise (2012) ที่นำแสดงโดย Christian Bale

Inception (2010)

จับมือกันอีกครั้งระหว่างฮันส์และโนแลนด์ในภาพยนตร์ลุ้นระทึกแนวแอคชั่นที่รวมเอานักแสดงมากฝีมือระดับโลกไม่ว่าจะเป็น Leonardo DiCaprio, Cillian Murphy, Tom Hardy, Marion Cotillard และอีกมากมาย อินเซปต์ชั่นเล่าเรื่องราวของโลกเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ที่ก้าวไปไกลถึงการมีสิ่งที่เรียกว่าการโจรกรรมฝันเกิดขึ้น ฉากอันตื่นเต้นได้ซาวด์ประกอบจากผู้ประพันธ์อย่างฮันส์มาช่วยทำให้ภาพยนตร์ครบรสมากขึ้น

Interstella (2010)

ยังคงจับมือสร้างหนังฟอร์มยักษ์กันอย่างไม่หยุดหย่อนเพราะโนแลนด์กับฮันส์ร่วมมือกันต่อในภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์เรื่อง Interstellar ขณะที่โนแลนด์วางพล็อตและสร้างเรื่องราวการกู้โลกของ Matthew McConaughey และ Anne Hathaway ฮันส์สร้างซาวด์ประกอบด้านหลังที่จะพาทุกคนพุ่งทะยานสู่จักรวาลอันกว้างใหญ่ด้วยความรู้สึกที่ทั้งลุ้นระทึกและน่าพิศวง

Dunkirk (2017)

ภาพยนตร์ระดับมาสเตอร์พีซอีกหนึ่งเรื่องที่คู่หูคู่นี้ยังคงทำออกมาอย่างต่อเนื่องคือภาพยนตร์แนวสงคราม Dunkirk ที่ฮันส์นำเสนอซาวด์ด้วยเพลงบรรเลงแบบบีบคั้นหัวใจและลุ้นระทึกระหว่างที่ตัวละครอย่างกองพันของเหล่าทหารภาคพื้นดินชาวอังกฤษกำลังต่อสู้กับโชคชะตาเพื่อหาทางกลับบ้าน ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทอดโดยนักแสดงมากฝีมือไม่ว่าจะเป็น Tom Hardy, Cillian Murphy, Fionn Whitehead, Harry Style และนักแสดงสมทบอีกมากมาย  

Wonder Woman 1984

สำหรับภาพยนตร์ที่กำลังจ่อโรงรอเข้าฉายอย่างซูเปอร์ฮีโร่สาว Wonder Woman 1984 ก็ได้ฮันส์มาช่วยเรื่องเสียงประกอบเช่นเดียวกัน โดยครั้งนี้แนวเพลงจะมีกลิ่นอายในยุค 80s เข้ามาด้วย เพราะเส้นเรื่องครั้งนี้เล่าถึงเหตุการณ์ในยุค 80s ที่ไดอาน่าต้องเผชิญ เรื่องราวและเสียงประกอบภาพยนตร์จะสนุกและตื่นเต้นขนาดไหน เราคงต้องรอชม

James Bond: No Time to Die

เป็นอีกเรื่องที่รอคิวเข้าฉายอย่างภาพยนตร์สายลับ James Bond กับภาคล่าสุด No Time to Die โดยเพลงประกอบครั้งนี้ยังคงโดดเด่นด้วยเสียงเปียโนและไวโอลินที่เป็นตัวเอกของเพลงซึ่งมีกลิ่นความลึกลับซับซ้อนผสมผสานอยู่ ฉากหน้าที่เป็นเรื่องราวของสายลับ 007 กับภารกิจอันยิ่งใหญ่จะเข้ากันได้ดีกับเพลงประกอบที่เป็นฉากหลังโดยมีฮันส์เป็นผู้ประพันธ์หรือไม่ต้องรอติดตามชม

 

ยังมีอีกหลายเรื่องที่ ฮันส์ ซิมเมอร์ เป็นผู้ประพันธ์เพลงประกอบภาพยนตร์ทั้งการ์ตูนอนิเมชั่นอย่าง The Prince of Egypt ของค่าย Dreamworks Animation, Sherlock Holms ที่ได้นักแสดงมากความสามารถอย่าง Robert Downey Jr. และ Jude Law มาร่วมแสดง, Gladiator, 12 Years a Slave และ As Good As it Gets