SKINCARE
Q: คำว่า UVA & UVB ในครีมกันแดดมีความหมายแตกต่างกันอย่างไร?2 คำนี้มีความหมายเกี่ยวข้องกับผิวของเราอย่างไร |
เมืองไทยมีสภาพอากาศร้อนและแดดแรง "ครีมกันแดด" จึงไอเท็มที่สาวไทยขาดไม่ได้เด็ดขาด ซึ่งปัจจุบันผลิตภัณฑ์กันแดดมีให้เลือกหลายชนิด ทั้งในเรื่องของเนื้อสัมผัส คุณสมบัติ และส่วนผสมที่เป็นมิตรต่อผิว เชื่อว่าหนึ่งในสิ่งที่หลายคนสงสัยคือคำว่า "UVA" และ "UVB" ในกันแดดมีความหมายว่าอย่างไร แตกต่างกันตรงไหน วันนี้โว้กบิวตี้มีคำตอบมาให้แล้ว ตามไปดูกันว่าคืออะไร
UVA
Ultraviolet A เป็นรังสีที่มีความยาวคลื่น 320-400 nm ในแสงแดดจะมี UVA มากถึง 95% รังสีชนิดนี้สามารถผ่านทะลุกระจกได้ แม้เราอยู่ในอาคาร ไม่ได้อยู่กลางแจ้งก็ตาม และเข้าสู่ผิวหนังชั้นหนังแท้ (Demis) ไปกดภูมิต้านทานของผิวหนัง ส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถปกป้องผิวจากการเกิดและแพร่กระจายของมะเร็งผิวหนังได้ นอกจากนี้ UVA ยังส่งผลทำให้ผิวแก่ก่อนวัย รอยเหี่ยวย่น จุดด่างดำต่างๆ ได้ด้วย หรือปัญหาเรื่อง Aging นั่นเอง และยังเป็นสาเหตุของมะเร็งผิวหนังทุกประเภทอีกด้วย ซึ่งค่า PA (Protection grade of UVA) คือค่าที่บ่งบอกถึงความสามารถในการป้องกันรังสี UVA นั่นเอง
PA+ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA เริ่มต้น
PA++ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA กลาง
PA+++ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA สูง
PA++++ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA สูงสุด
สำหรับแสงแดดเมืองไทย แนะนำให้เลือกกันแดดที่มีค่า PA +++ ขึ้นไปจะดีที่สุด
UVB
Ultraviolet B เป็นรังสีที่มีความยาวคลื่น 290-320 nm ซึ่งมีประมาณ 5% ในแสงอาทิตย์ รังสีนี้ไม่สามารถทะลุกระจกเข้ามาได้ แต่เมื่อเราออกไปอยู่ในที่กลางแจ้ง รังสีนี้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดผิวไหม้แดด ผิวหมองคล้ำ แต่ถ้าได้รับมากเกินไปก็เป็นสาเหตุทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้เช่นกัน ซึ่งค่า SPF (Sun Protection Factor) ในครีมกันแดดเป็นค่าการดูดซับรังสี UVB
ค่า SPF เท่ากับ 15 จะดูดซับ UVB ได้ 93.3%
ค่า SPF เท่ากับ 20 จะดูดซับ UVB ได้ 95%
ค่า SPF เท่ากับ 30 จะดูดซับ UVB ได้ 96.7%
ค่า SPF เท่ากับ 45 จะดูดซับ UVB ได้ 97.8%
ค่า SPF เท่ากับ 50 จะดูดซับ UVB ได้ 98%
สำหรับแสงแดดเมืองไทย แนะนำให้เลือกกันแดดที่มีค่า SFP ตั้งแต่ 15 ขึ้นไปจะดีที่สุด
1 / 4
2 / 4
3 / 4
4 / 4
WATCH
ภาพ : Courtesy of the brands / IG: @kaiagerber , @jourdansloane
WATCH