TREATMENTS

#VogueReview เคลียร์จบทุกปัญหาผิว พร้อมเผยหน้าใสในแบบ Glass Skin ที่ Smith Prive' Aesthetique

การมีผิวใสในแบบ Glass Skin คงเป็นอีกหนึ่งความฝันของสาวๆ แทบทุกคน เพราะนอกจากจะบ่งบอกถึงผิวสุขภาพดีแล้วยังสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองได้อีกด้วย แต่ด้วยปัจจัยมากมายที่เกิดขึ้นในปัจจุบันทั้งสิ่งกระตุ้นภายนอก ฮอร์โมน ความเครียด การกินอาหารและอีกมากมายที่ส่งผลให้ผิวหน้าเรานั้นไปกันก่อนวัย ไม่ว่าจะความหย่อนคล้อย รอยแดงจากสิว รูขุมขนกว้าง และที่สำคัญคือผิวขาดน้ำส่งผลให้การมีผิวแบบ Glass Skin เป็นไปได้ยาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้เลยเพราะปัจจุบันยังถือว่าโชคดีกว่าสมัยก่อนมากด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยประกอบกับฝีมือทางการแพทย์ของคุณหมอด้านความงามทั้งหลาย จึงส่งผลให้เกิดทรีตเม้นต์มากมายที่จะมาช่วยกอบกู้ปัญหาเหล่านี้ เป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับสู่ผิวใสแบบที่ฝันได้ไม่ยาก

 

ทรีตเม้นต์ที่โว้กบิวตี้กำลังพูดถึงประกอบไปด้วย 3 ทรีตเม้นต์ตัวดังที่กำลังมาแรงอย่าง Ultherapy, PICO Fractional และ Skin Radiance ที่วันนี้โว้กบิวตี้ได้มีโอกาสไปลองมาทั้ง 3 ตัว ที่คลีนิคเสริมความงาม Smith Prive' Aesthetique โดยมีคุณหมอชื่อดังอย่าง “หมอโอ๊ค-สมิทธิ์ อารยะสกุล” ทำหน้าที่ดูแลพร้อมแนะนำอย่างใกล้ชิด ตามโว้กบิวตี้ไปดูกันว่าทรีตเม้นต์ทั้ง 3 ตัวนี้คืออะไร แล้วผลลัพธ์หลังการทำจะมีประสิทธิภาพได้ผิวใสแบบที่เขาเคลมไว้หรือไม่

 ทีมบิวตี้เข้ารับคำแนะนำกับคุณหมอโอ๊คก่อนการทำทรีตเม้นต์

 

Ultherapy คืออะไร?

สิ่งที่แตกต่างชัดเจนที่สุดคืออัลเทอร่ามีการจดลิขสิทธิ์ในเรื่องของการใช้งาน เนื่องจากว่าตัวเครื่องสามารถสแกนทำให้เห็นถึงชั้นผิวได้อย่างชัดเจน ฉะนั้นความแม่นยำของการใช้งานจึงมีมาตราฐานมากกว่าเทคโนโลยีอื่นๆ ซึ่งอัลเทอร่าจะช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องของความหย่อนคล้อย โดยการใช้คลื่นอัลตร้าซาวน์เปลี่ยนจากพลังงานคลื่นเสียงเป็นความร้อน เน้นกระตุ้นไปที่เซลล์ไฟโบรลาสต์ของชั้นผังผืด SMAS ให้มีการหดตัว จะทำให้ผิวยกกระชับมากขึ้น เป็นหลักการเดียวกันกับการผ่าตัดยกกระชับหน้า แค่ไม่ต้องผ่าให้ไปถึงโครงสร้างของผังผืดและกล้ามเนื้อเท่านั้นเอง โดยความลึกของชั้นผิวที่อัลเทอร่าสามารถรักษาได้จะมีหลายแบบ ซึ่งความลึกของชั้น SMAS ปกติมักจะอยู่ที่ 4.5 mm แต่ละคนจะมีบริเวณที่ลึกไม่เท่ากัน ที่สำคัญการทำอัลเทอร่าแต่ละที่อาจไม่เหมือนกัน ด้วยเทคนิคที่อัพเดทต่างกัน ส่งผลให้ผลลัพธ์ที่ได้อย่างความเจ็บปวดที่ลดลงจะอยู่ที่ความชำนาญและการวางแผนของแพทย์ ซึ่งของที่คลินิกจะใช้ SPT Teachnique หรือ S (See) , P (Plan) , T (Treat) คือ การสแกนให้เห็นภาพของชั้นผิวที่ชัดเจนก่อน จากนั้นจึงวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล แล้วจึงค่อยทำการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพที่สุด ซึ่งนอกจากจะช่วยยกกระชับผิวแล้ว ยังช่วยลดเลือนริ้วรอยให้ผิวเรียบเนียนขึ้น และที่สำคัญคือผลลัพธ์ยังมีผิวใสตามมาอีกด้วย

เครื่องที่สแกนให้เห็นถึงชั้นผิวจึงมีความแม่นยำสูง

ขั้นตอนการทำ

เริ่มจากการทายาชาทิ้งไว้ประมาณ 30-40 นาที จากนั้นก็ลบยาชาที่ทาไว้ออก ต่อด้วยการร่างเส้นบนใบหน้าทั้งสองข้างเพื่อให้ดูเท่ากันและสมส่วน จากนั้นจะเริ่มทาเจลใสเพื่อป้องกันไม่ให้หน้าไหม้ แล้วจึงเริ่มใช้อัลเทอร่ายกกระชับตามเส้นที่ร่างไว้ โดยตัวเครื่องจะส่งคลื่นอัลตร้าซาวด์โดยไม่ต้องใช้เข็มหรือทำลายผิวชั้นบนเลย ครั้งนี้เนื่องจากจุดประสงค์คือการมาปรับปรุงคุณภาพผิว คุณหมอจึงเลือกใช้ขนาด 1.5 mm ซึ่งเป็นขนาดเล็กที่สุด ช่วยในการกระตุ้นนคอลลาเจน ทำให้ฟื้นฟูคุณภาพผิวได้ดี ซึ่งคลื่นอัลตราซาวด์จะไปกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ และเมื่อชั้น SMAS หดตัวก็จะทำให้ผิวยกกระชับมากขึ้นนั่นเอง โดยจะเน้นตรงบริเวณกรอบหน้า ขมับ และบนปลายหางคิ้วเล็กน้อย เพื่อให้เกิดการยกกระชับที่เข้ารูปตรงกัน ใช้เวลาในการทำประมาณ 15-20 นาที 



WATCH



ระหว่างการทำทรีตเม้นต์ Ultherapy

ภาพหลังการทำทรีตเม้นต์ Ultherapy ทันที

ความรู้สึกหลังทำทรีตเม้นต์

หลังทำ Ultherapy แบบทันทีจะเห็นได้ชัดเจนว่ารูปหน้าด้านซ้ายดูยกและกระชับขึ้นกว่าหน้าด้านขวา หางตาดูยกขึ้น ร่องแก้ม ร่องใต้ตาและร่องน้ำหมากลดลง ซึ่งหลังจากทำทรีตเม้นต์แล้วประมาณ 2-4 สัปดาห์ใบหน้ายกกระชับขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งปกติเป็นคนที่มีโหนกแก้มและกราม จึงเห็นได้ว่ากรอบหน้าชัดขึ้น ริ้วรอยและความหย่อนคล้อยลดลง เมื่อริ้วร้อยน้อยลงก็ส่งผลให้ผิวเรียบเนียนตามมา หลังจากนั้นไม่กี่วันก็สังเกตได้ถึงเนื้อผิวที่ใสขึ้นตามลำดับด้วยผลข้างเคียงของการทำ Ultherapy โดยครั้งนี้ที่คุณหมอเลือกใช้ขนาด 1.5 mm จึงกระตุ้นคอลลาเจนได้ดีทำให้หน้าดูใสและเด้งขึ้นตามมาอีกด้วย โดยผลลัพธ์นี้จะอยู่ได้นานถึง 1-2 ปี แนะนำให้ทำ 1-2 ปีครั้ง ทั้งนี้ขึ้นกับอายุและสภาพผิว หากคนที่มีอายุน้อย ผิวยังสามารถสร้างคอลลาเจนได้เยอะ ผลลัพธ์จะอยู่ยาว ส่วนคนที่มีอายุมาก ผิวมีความหย่อนคล้อยสูง อาจจะต้องทำถี่กว่าปกติ เช่น 6 เดือนครั้ง ถึงจะเห็นผลที่ชัดเจน

 

 

PICO Fractional คืออะไร?

เป็นนวัตกรรมเลเซอร์แบบใหม่ โดยใช้เทคโลโนยีขั้นสูงด้วยความยาวคลื่นแบบ Dual-wavelength 532 nm และ 1,064 nm ซึ่งจะปล่อยพลังงานความถี่สูงในระดับ Picosecond ที่ความเร็วสูงสุด 1 ต่อ ล้านล้านวินาที เป็นการปล่อยพลังงานในช่วงเวลาที่สั้นมาก ทำให้เม็ดสีดูดซึมพลังงานจากเลเซอร์และแตกตัวเป็นอนุภาคเล็กๆ ได้ดี ส่งผลในการลดปริมาณเม็ดสีในชั้นผิวชั้นตื้นและชั้น Dermis ที่ลึกลงไปให้มีอนุภาคขนาดเล็กลง จึงช่วยลดปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอจากฝ้า กระ จุดด่างดำ และยังสามารถช่วยลบรอยสักได้ด้วย โดยเกิดผลข้างเคียงและใช้ระยะเวลาในการรักษาน้อยกว่าการเลเซอร์แบบเดิม เทคโนโลยีนี้ให้การรักษาทั้งแบบ Fractional และ Non-Fractional โดยครั้งนี้เราได้เลือกการรักษาแบบ Fractional ซึ่งเลเซอร์ประเภทนี้จะทำให้เกิด LIOB (Laser-Induced Optical Breakdown) คือ ตัดผังผืดใต้ชั้นผิว และช่วยกรอผิวด้านบนเรียบเนียน ลดรอยดำและรอยแดงจากปัญหาสิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวเนียนกระชับ พร้อมกระชับรูขุมขนให้เล็กลง ปรับผิวให้กระจ่างใสขึ้น

ระหว่างการทำทรีตเม้นต์ PICO Fractional Face

ขั้นตอนการทำ

เริ่มจากใช้อุปกรณ์ปิดตาเพื่อป้องกันอันตรายจากแสงเลเซอร์ เวลาทำจะเน้นไปที่บริเวณที่มีรอยดำหรือหลุมสิว รวมถึงส่วนที่มีรูขุมขนค่อนข้างกว้าง ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและขนาดของผิวบริเวณที่ทำเลเซอร์ ในช่วงที่ทำอาจจะรู้สึกอุ่นๆ และแสบประร้อนเล็กน้อยบริเวณผิว ทำให้เกิดการแตกตัวของเม็ดสีจนเป็นอนุภาคที่เล็กมากกว่าเลเซอร์รุ่นเดิม ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ แต่ไม่เกิดการสะสมพลังงานความร้อน จึงไม่ทำให้ผิวเกิดการไหม้หรือระคายเคือง หลังจากทำเสร็จอาจจะมีแค่รอยแดงเล็กน้อย โดยแพทย์จะทำการประคบเย็นหรือทาเจลครีม เพื่อลดอาการร้อนของใบหน้า แต่รอยดำจากสิวเหล่านี้จะหายไปในประมาณ 2-3 วัน

ความรู้สึกหลังทำทรีตเมนต์

หลังจากทำเสร็จจะมีรอยแดงเล็กน้อยประมาณ 2-3 วัน ผิวไม่ไหม้ เพียงแค่หลีกเลี่ยงการออกแดดจัดและทาครีมกันแดดที่มี SPF 50 ขึ้นไป สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนหลังจากที่รอยดำจากสิวหายไป คือปัญหาจุดด่างดำน้อยลงและรูขุมขนกระชับขึ้น จากปกติที่เป็นคนที่มีรูขุมขนค่อนข้างใหญ่บริเวณข้างจมูกและหน้าแก้ม รู้สึกว่าเล็กลง ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น จึงทำให้แต่งหน้าติดง่าย ไม่ต้องใช้ไพรเมอร์เยอะ ซึ่งความถี่ของการรักษาขึ้นอยู่กับปัญหาผิวของตัวเองและการประเมินจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยแต่ละครั้งควรห่างกันอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ สำหรับคนที่ต้องการรักษาเรื่องการปรับสีผิว กระตุ้นคอลลาเจน และ 4-6 สัปดาห์ ในกลุ่มของรอยสัก กระลึก ปาน เป็นต้น นอกจากผิวเรียบเนียนขึ้นแล้วยังรู้สึกถึงผิวที่กระจ่างใสขึ้นจริงๆ 

 

Skin Radiance คืออะไร?

ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มของ ‘ฟิลเลอร์’ หรือ ‘สารเติมเต็ม’ (Filling substance) มีส่วนประกอบของกรดไฮยาลูรอนิก(Hyaluronic Acid หรือ HA) ที่มีในร่างกายตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ร่างกายจะผลิตกรดชนิดนี้น้อยลงหรือเสื่อมสภาพเร็วจากอายุที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น การเติมสารเติมเต็มจะช่วยมอบความชุ่มชื่นให้เซลล์ผิว ทำให้ผิวเรียบเนียนเต่งตึง ช่วยให้ผิวหน้าแลดูอิ่มฟู ปรับผิวให้เรียบเนียนขึ้น ความพิเศษของฟิลเลอร์ตัวนี้คือมีขนาดโมเลกุลเล็ก เนื้อเนียนกว่าฟิลเลอร์ตัวอื่นๆ และยังได้ผสานเทคนิคการฉีดพิเศษที่เรียกว่า ‘Hourglass Pattern’ เพื่อเข้าเติมเต็มบริเวณบริเวณพวงแก้มและใต้ตาอันเป็นจุดกระทบแสงที่ดีที่สุดของใบหน้า และยังเปรียบเสมือนการเติมน้ำใต้ผิวหน้าชั้นใน (Dermis) ให้เปล่งประกายเหมือนแบบ Glass Skin จากภายใน พร้อมทั้งชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัยได้อีกด้วย

ระหว่างการทำทรีตเม้นต์ Skin Radiance

ขั้นตอนการทำ

เริ่มจากการทายาชาทิ้งไว้ประมาณ 40 นาที หลังจากครบเวลาก็ลบยาชาออกแล้วเริ่มฉีดจากบริเวณ หน้าแก้มและข้างจมูก ตามเทคนิคการฉีดแบบ Hourglass Pattern ใช้เวลาประมาณ 15 นาที เมื่อฉีดเสร็จจะมีรอยบวมเล็กน้อยตรงบริเวณที่เข็มจิ้มลงไป แต่รู้สึกและเห็นได้พอสมควรว่าผิวดูฟูและเต่งตึงขึ้น รูขุมขนเล็กลง ปิดท้ายการทำทรีตเมนต์นี้ด้วยการทาเจลครีม เพื่อลดรอยแดงและเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิว โดยรอยช้ำและรอยแดงจะหายไปเองหลังจากทำประมาณ 3-5 วันหลังจากวันที่ทำ

ความรู้สึกหลังทำทรีตเม้นต์

เห็นผลค่อนข้างชัดเจนตั้งแต่หลังฉีดเสร็จ ผิวบริเวณใต้ตา หน้าแก้มและร่องแก้มดูเติมเต็มขึ้น ถึงแม้จะมีรอยแดงจะการฉีดเล็กน้อย แต่เมื่อรอยแดงหายไปหลังจากทำได้ 3 วัน รู้สึกว่าผิวฟูและอิ่มน้ำมากขึ้น ง่ายต่อการแต่่งหน้า เพราะไม่ต้องลงเมกอัพเยอะก็สามารถมีผิวฉ่ำโกลว์และดูมีมิติได้ แถมเมื่อผิวเรามีความชุ่มชื่นจากภายในสู่ภายนอกแล้วจึงส่งผลให้การแต่งหน้าติดทนมากขึ้นด้วย ที่สำคัญคือรู้สึกถึงเนื้อผิวที่กระจ่างใสขึ้นอย่างชัดเจน

หลังจากทำทรีตเม้นต์ทั้ง 3 ตัวแล้ว สิ่งแรกที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือเรื่องของเนื้อผิวที่มีความใสขึ้น ดูอิ่มฟูแบบฉ่ำน้ำ ริ้วรอยตื้นขึ้นแม้จะไม่ขนาดหายไปเลยแต่ก็จางลงอย่างเห็นได้ชัดว่าเรียบเนียนขึ้น ทำให้การแต่งหน้าง่ายขึ้นมาก และที่สำคัญไม่ต้องลงคอนซีลเลอร์เพื่อปกปิดผิวมากหรือแต่งหน้าเยอะ เนื่องจากเมกอัพติดผิวขึ้นกว่าเดิม และโดยปกติเป็นคนรูปหน้าที่พอมีโหนกแก้มและกรามอยู่แล้ว และมีแก้มเล็กน้อย แต่หลังการทำทรีตเม้นต์สังเกตได้ว่าโครงหน้าดูชัดเจนขึ้น กระชับมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้ง่ายต่อการแต่งหน้า ที่สำคัญคือมีหลายคนทักว่าหน้าใสและเด้งมากทำให้ตัวเราเองก็รู้สึกมั่นใจมากขึ้นตามไปด้วย

คลีนิคที่แนะนำ

การทำทรีตเม้นต์เหล่านี้ต้องมีความมั่นใจทั้งฝีมือและคุณภาพของเครื่องมือจริงๆ ซึ่งหลังเข้ารับการทำทรีตเมนต์แล้วโว้กบิวตี้แนะนำต่อได้เลยว่า Smith Prive' Aesthetique เป็นศูนย์รวมของนวัตกรรมความงามแบบครบวงจร พร้อมเทคโนโลยีที่ทันสมัยและปลอดภัย รวมถึงทีมแพทย์คุณภาพจากหลากหลายสาขาความงาม นำทีมโดยคุณหมอโอ๊ค หรือ นายแพทย์ สมิทธิ์ อารยะสกุล ผู้เชี่ยวชาญทางด้านผิวหนังและโครงหน้า จึงสามารถให้คำปรึกษาและการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของคนที่ต้องการเติมความใสและสร้างผิวสวยในแบบ Glass Skin ซึ่งหากใครสนใจสามารถติดต่อเพิ่มเติมที่รายละเอียดข้างล่างได้เลย

Facebook: Smith Prive' Aesthetique

Instagram: smith_clinic

Website: https://smithskin.com

WATCH