TREATMENTS

คุยกับ ‘นพ.กฤติมุข วิเศษธนากร’ พร้อมทำความรู้จักและเจาะลึกข้อควรรู้ก่อนใช้สารเติมเต็มริ้วรอยอเมริกา

สารเติมเต็มริ้วรอยคืออะไร ปลอดภัยจริงหรือ โว้กบิวตี้พาแฟนๆ มาร่วมไขคำตอบและพูดคุยถึงรายละเอียดของตัวช่วยความสวยงามดังกล่าวกันแบบเจาะลึกไปกับ นพ.กฤติมุข วิเศษธนากร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามจาก Fresh Code Clinic

      หนึ่งในเทรนด์ความงามที่เราปฏิเสธไม่ได้เลยคงต้องพูดถึงการเลือกใช้สารเติมเต็มผิวให้เเลดูอิ่มฟู เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของความงามที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้สารดังกล่าวในการช่วยเติมเต็มริ้วรอยบนใบหน้าให้แลดูลดเลือนลงไป แม้กระทั่งการเลือกใช้เพื่อช่วยปรับรูปหน้าและริมฝีปากให้มีความสวยงามตามความต้องการของแต่ละคน ทว่าการใช้สารเติมเต็มริ้วรอยนั้นกลับมีคำถามมากมายถึงเรื่องความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ครั้งนี้โว้กบิวตี้จึงได้โอกาสในการร่วมพูดคุยกับ “นพ.กฤติมุข วิเศษธนากร” หรือ “หมอกฤติ” แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามประจำ Fresh Code Clinic ที่ได้ไขคำตอบให้เราถึงเรื่องของสารเติมเต็มริ้วรอย พร้อมพาแฟนๆ โว้กบิวตี้ไปรู้จักกับสารเติมเต็มริ้วรอยสัญชาติอเมริกันที่กำลังได้รับความสนใจกันอย่างใกล้ชิดอีกด้วย

    เรื่องราวของบทสัมภาษณ์ในครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นในช่วงเวลาสาย ณ คลินิกเฟรชโค้ด ท่ามกลางบรรยากาศสบายๆ และท่าทีที่เป็นกันเองของหมอกฤติ ก่อนที่บทสนทนาของเราจะเริ่มต้นขึ้นผู้เขียนได้ถามคำถามง่ายๆ อย่าง “สารเติมเต็มริ้วรอยคืออะไร” ให้กับคุณหมอ เพื่อเป็นการเปิดประเด็นถึงเนื้อหาที่เรากำลังจะพูดคุยกันตลอดบทสนทนานี้  “ถ้าจะตอบว่าสารดังกล่าวคืออะไรหมอคงต้องเกริ่นให้ฟังก่อนว่าปกติชั้นผิวเรามีความลึกลง และการที่เราจะมีผิวหน้าที่แลดูอ่อนเยาว์นั้นในบางครั้งการทาครีมบำรุงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ เพราะหากเราต้องการมีผิวหน้าที่ดูเด็กแล้ว มันก็ต้องขึ้นอยู่กับทุกๆ ชั้น ที่ดูเด็กตาม” หมอกฤติพูดพร้อมหยิบชั้นผิวหนังจำลองมาให้เราได้เห็นถึงหลักการทำงานของชั้นผิวหนังอย่างใกล้ชิด ก่อนจะเล่าเสริมต่อไปว่าโดยปกติแล้วร่างกายของมนุษย์จะมีการผลิตคอลลาเจนที่ชั้นหนังแท้ที่มีส่วนผสมหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น คอลลาเจน, อีลาสตินและไฮยาลูรอนิก แอซิด “เมื่ออายุมากขึ้นสารไฮยาลูรอนิก แอซิดที่อยู่บริเวณนี้ก็จะค่อยๆ สลายไป จนทำให้ผิวหนังขาดความชุ่มชื้น และเริ่มเผยให้เห็นรอยย่นบนผิวที่เกิดขึ้นตามมา จนในที่สุดจึงได้มีการคิดค้นสารเติมเต็มขึ้นมา ที่เรารู้จักกันในชื่อทั่วไปว่า ‘สารไฮยาลูรอนิก แอซิด’ ในรูปแบบที่สามารถฉีดได้นั่นเอง”



WATCH



     ไม่เพียงหมอกฤติจะตอบคำถามเรื่องที่มาที่ไปของข้อสงสัยดังกล่าวเท่านั้น ทว่าเขายังได้แบ่งปันข้อมูลให้กับผู้เขียนเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้นถึงการทำงานของสารเติมเต็มผิวไว้ว่า “โดยปกติในท้องตลาดเรามักพบเห็นครีมบำรุงต่างๆ ที่มีส่วนประกอบของสารไฮยาลูรอนิก แอซิด ซึ่งเป็นสารที่มีส่วนช่วยในการเติมเต็มความชุ่มชื้นให้กับผิว ซึ่งสารเหล่านั้นเป็นสารที่ไม่ได้มีพันธะเรียงกันอยู่ อาจทำให้สารตัวนี้ไม่สามารถซึมลงไปถึงชั้นหนังแท้ได้ แต่ในทางกลับกันนั้นสารเติมเต็มริ้วรอยเมื่อถูกเติมลงไปในชั้นหนังแท้ก็จะทำให้เกิดการสร้างพันธะโซ่ขึ้นเพื่อเชื่อมสารไฮยาลูรอนิก แอซิดเข้ากับเนื้อเยื่อบริเวณชั้นหนังแท้ จนทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นกลับมาเต่งตึงและชุ่มชื้นอีกครั้ง แต่นอกจากความชุ่มชื้นแล้วยังให้เรานั้นยังรวมไปถึงเรื่องของโครงสร้างด้วย เพราะเมื่อเกิดการสร้างพันธะโซ่ขึ้นมาในบริเวณนั้นๆ ก็จะทำให้เนื้อเยื่อมีความแข็งมากขึ้น ซึ่งขึ้นอยู่กับบริเวณและผลิตภัณฑ์ที่เลือกใช้ เช่น บริเวณใต้ตาก็จะมีความแข็งตัวน้อยกว่าสารที่ใช้กับบริเวณคางเพื่อผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติอีกด้วย”  

     หลังจากที่เราได้ร่วมพูดคุยถึงตัวช่วยในการเติมเต็มผิวและหลักการทำงานกันไปแล้ว ผู้เขียนก็ได้ถามคุณหมอต่อไปถึง “สารเติมเต็มริ้วรอยสัญชาติอเมริกัน” ที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบันนี้ โดยหมอกฤติได้ตอบไว้ว่าในปัจจุบันนี้มีสารดังกล่าวให้เลือกหลากหลายยี่ห้อและสัญชาติ ไม่ว่าจะเป็นสวิตเซอร์แลนด์ หรือสวีเดน และแต่ละยี่ห้อนั้นต่างมีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป ทว่าสารที่มาจากอเมริกานั้นได้รับความสนใจเนื่องมาจากความหลากหลายซึ่งตอบโจทย์กับการใช้งานในแต่ละจุดที่มีความต้องการแตกต่างกันไป เช่น บริเวณใต้ตา บริเวณคาง หรือแม้กระทั่งบริเวณปาก  “จริงๆ แล้วสิ่งที่เราต้องคำนึงถึงขั้นตอนการเลือกผลิตภัณฑ์ เราอาจจะต้องคำนึงถึงคุณภาพและมาตรฐานที่ได้รับการรับรองมากกว่า เพราะหากเราเลือกใช้สารเติมเต็มที่ไม่ได้มาตรฐานอาจส่งผลเสียต่อใบหน้าของเราได้ ไม่ว่าจะเป็นการบวม การอักเสบ ผลลัพธ์ที่อยู่ไม่นาน” นอกจากนี้หมอกฤติยังเล่าต่อไปอีกว่าจากประสบการณ์ที่เคยใช้งานมาหลากหลายผลิตภัณฑ์แล้ว นอกจากตัวช่วยดังกล่าวจะเป็นสิ่งที่มีความหลากหลาย ในขณะเดียวกันยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่คงผลลัพธ์ไว้ได้นาน เช่น บริเวณคาง สามารถคงผลลัพธ์ได้นานมากถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของคนไข้หลังรับบริการ

      “จริงๆ แล้ว หมอคิดว่าการที่สิ่งนั้นสลายไปและเราต้องกลับมาเติมอีกครั้งถือเป็นสัญญาณที่ดี เพราะหากมันไม่หายไปเลย นั่นหมายความว่าสารเติมเต็มผิวประเภทนั้นๆ ไม่สามารถสลายได้เองในธรรมชาติจนกลายมาเป็นสิ่งตกค้างในร่างกายในท้ายที่สุด แต่ถ้าถามว่าหลังสลายไปแล้วใบหน้าของเราจะกลับไปเป็นแบบเดิมหรือไม่ หมอคงต้องพูดว่าอาจกลับไปเป็นแบบเดิมแต่ไม่เท่ากับก่อนหน้านี้ เพราะในขณะที่เราได้เติมสารเติมเต็มผิวหนังลงในชั้นหนังแท้แล้ว บริเวณนั้นก็จะถูกกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนขึ้นมา และเมื่อคอลลาเจนมารวมตัวกันแล้ว ก็จะทำให้ผิวบริเวณนั้นแลดูตื้นมากยิ่งขึ้น และหลังจากนั้นหากมาเติมอีกครั้ง ปริมาณที่ใช้อาจไม่ได้มากเท่ากับครั้งแรกที่ใช้” หมอกฤติได้แบ่งปันให้กับผู้เขียนถึงประเด็นที่หลายคนตั้งคำถามว่าทำไมเราต้องกลับไปเติมสารเติมเต็มผิวหลังจากครบกำหนด ซึ่งคำตอบที่ได้รับมาผู้เขียนเชื่อว่าหลายๆ คนคงเห็นภาพที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

     นอกจากนี้ผู้เขียนยังได้พูดคุยกับหมอกฤติต่อไปอีกว่าการใช้สารเติมเต็มนั้นควรเริ่มใช้ตั้งแต่ช่วงไหน ซึ่งหมอกฤติก็ได้อธิบายว่าการใช้สารเติมเต็มตั้งแต่อายุยังน้อยนั้น เป็นดั่งกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เราชะลออายุของผิวหน้าได้เป็นอย่างดี เพราะหลังจากช่วงวัย 20 ปี ร่างกายของเราจะสูญเสียคอลลาเจนไปปีละประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ และหากเราเลือกที่จะใช้ตัวช่วยในการเติมเต็มผิวตอนวัย 60 ปี ความชุ่มชื้นบนใบหน้าก็อาจจะไม่เท่ากับคนที่มีอายุ 20 ปี ทำให้การใช้ตัวช่วยดังกล่าวหนึ่งครั้งนั้นจำเป็นต้องใช้ในปริมาณที่มากยิ่งขึ้น และในขณะเดียวกันผลลัพธ์อาจจะไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวังไว้เท่าที่ควร

     “กระแสความนิยมของสารเติมเต็มผิวจากอเมริกาในประเทศไทยนั้น คงต้องพูดว่ามีหลายคนที่กำลังลังเลอยู่ เพราะด้วยราคาที่อาจจะสูงกว่าหลายๆ แบรนด์ แต่เมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่สามารถคาดเดาได้ ตลอดจนระยะเวลาที่อยู่ได้นานมากกว่า หมอจึงคิดว่าสารดังกล่าวนั้นเป็นสิ่งที่คุ้มค่าหากเลือกใช้จริงๆ นอกจากนี้สิ่งนั้นยังเป็นมากกว่าการเติมเต็มความชุ่มชื้นให้กับผิวอีกด้วย เพราะหลักสูตรของการให้บริการซึ่งเป็นจุดเด่นของสารเติมเต็มสัญชาตินี้เน้นไปที่การปรับโครงสร้างทั่วบริเวณใบหน้า ทำให้บริเวณจุดที่กังวลเช่น ใต้ตาหรือร่องแก้มไม่จำเป็นต้องใช้สารเติมเต็มริ้วรอยเยอะเหมือนสมัยก่อน ทำให้ผลลัพธ์โดยรวมแลดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นและคงอยู่ได้นาน เมื่อเทียบกับการเติมสารเติมเต็มผิวลงไปในจุดที่กังวลเพียงอย่างเดียว เช่น บริเวณเฉพาะใต้ตาหรือร่องแก้มโดยไม่มีการปรับโครงสร้างโดยรอบ ทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมาอาจดูไม่เป็นธรรมชาติและผลลัพธ์อาจอยู่ได้ไม่นานมากเท่าไร”คำตอบจากหมอกฤติขณะพูดคุยถึงประเด็นความนิยมของสารเติมเต็มริ้วรอยจากอเมริกาในประเทศไทย

 

     สุดท้ายแล้วก่อนบทสนทนาจะจบลงหมอกฤติยังได้ทิ้งท้ายไว้ว่า “จริงๆ สำหรับใครที่กำลังลังเลอยู่ว่าตัวเองควรใช้สารเติมเต็มริ้วรอยบนผิวหรือไม่ หมอคิดว่าการเข้ามาปรึกษากับคุณหมอโดยตรงอาจจะสร้างความมั่นใจในการใช้งานได้มากกว่า เพราะบางครั้งข้อมูลบนโลกอินเทอร์เน็ตอาจไม่แม่นยำและให้คำแนะนำที่ผิดไปได้ เพราะฉะนั้นแล้วการเข้ามาพูดคุยกับคุณหมอทำให้เราได้เห็นภาพที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นการสร้างความเข้าใจรวมถึงการวางแนวทางเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาบนใบหน้าได้อย่างตรงจุด”

WATCH