เปลี่ยนหน้าใส-ไร้ขนด้วย 'หมั่งหมิง'

หลายคนอาจคุ้นหูกับ ‘หมั่งหมิง’ ว่าเป็นการดูแลผิวหน้าแบบโบราณของจีน และมักคิดว่าเป็นวิธีเฉพาะสำหรับคนสูงวัย ส่วนวัยรุ่นส่วนใหญ่ต่างหันไปหาคลินิกดูแลผิวพรรณที่ใช้เทคโนโลยีล้ำหน้าแทน แต่แท้จริงนั้นการคงอยู่ของหมั่งหมิงในปัจจุบันไม่ใช่เป็นเพียงเพราะผู้คนสมัยก่อนต่างต้องการรักษาวิธีโบราณไว้ แต่เพราะผลลัพธ์การดูแลผิวที่เห็นได้ชัดเจน จึงทำให้หมั่งหมิงยังคงอยู่คู่กับสังคมที่เต็มไปด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ อยู่เรื่อยมา

ที่มาของการใช้ด้ายสองเส้นในการกำจัดขนหน้า

ต้นกำเนิดของหมั่งหมิงมีหลากหลายที่มาจากทั้งการเล่าขานรุ่นสู่รุ่นรวมไปถึงการบันทึกลงในหนังสือ หนึ่งที่มาของหมั่งหมิงที่ถูกเล่าขานสืบต่อกันมาคือ ในสมัยโบราณมีจักรพรรดิผู้ชอบมีพฤติกรรมสำส่อน ชอบสั่งทหารจับกุมหญิงสาวไร้คู่ครองเข้าวัง จนชาวบ้านต่างพากันหาวิธีปกป้องหญิงสาวที่เป็นลูกหลานของพวกเขา จึงกำจัดขนอ่อนบนใบหน้า แล้วทาแป้งขาวทั้งหมดเพื่อปลอมเป็นหญิงที่รอเข้าพิธีแต่งงาน เพื่อไม่ให้ถูกทหารจับตัวเข้าไปรับใช้จักรพรรดิในวัง

ขั้นตอนการทำหมั่งหมิง

มองดูภายนอกอาจดูเหมือนง่ายแต่แท้จริงแล้ว การทำหมั่งหมิงต้องทำแต่ละขั้นตอนให้ถูกต้องเพื่อผลลัพธ์ที่ดี

• ทำความสะอาดหน้าด้วยน้ำเปล่า หากใครแต่งหน้ามาจะต้องลบเครื่องออกสำอางออกก่อน
• เก็บผมด้วยที่คาดผม เพื่อความสะดวกในการทำหมั่งหมิง
• บางร้านอาจลงแป้งก่อนเพื่อลดการระคายเคืองที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการทำ
• เริ่มต้นการทำหมั่งหมิงด้วยการขึงเส้นด้ายสองเส้นด้วยมือแล้วค่อยๆ ตวัดไปบนผิวทีละบริเวณขั้นตอนนี้เป็นการกำจัดไรขนบนผิวหน้าและยังคล้ายกับการสครับผิวอีกด้วย
• เมื่อทำทั่วใบหน้าแล้ว ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดแป้งออกอย่างเบามือ เป็นอันเสร็จสิ้นการทำหมั่งหมิง

ผลลัพธ์

หลังจากการทำหมั่งหมิงแล้วผิวอาจเกิดการระคายเคืองเล็กน้อย อาจมีรอยแดงเกิดขึ้นได้ ให้งดแต่งหน้าหนึ่งถึงสองวัน และงดการใช้สกินแคร์ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว เมื่อผ่านไปประมาณสามวันถึงหนึ่งอาทิตย์จะสังเกตได้ถึงผิวหน้าที่กระจ่างใสมากขึ้น และเมื่อขนอ่อนบนผิวหน้าถูกกำจัดออก จะช่วยให้ขั้นตอนการลงผิวของเมกอัพมีความเรียบเนียนยิ่งขึ้นอีกด้วย

ใครที่ควรเลี่ยงการทำหมั่งหมิง

เมื่ออ่านถึงตรงนี้แล้วเราจะเห็นได้ว่าการถอนขนอ่อนบนใบหน้าพร้อมกับกำจัดเซลล์ผิวชั้นนอกของหมั่งหมิงนั้นคล้ายกับการสครับผิวหน้า ดังนั้นคนที่ควรหลีกเลี่ยงหมั่งหมิงคือคนที่มีผิวแพ้ง่ายหรือมีสิวอักเสบ เพราะจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการระคายเคืองและอักเสบได้