BODY

เจาะลึกคอลเล็กชั่นน้ำหอมชั้นสูง L'Art & La Matière กับ Thierry Wasser นักปรุงน้ำหอมแห่ง Guerlain

โว้กบิวตี้พารู้จักน้ำหอมกลิ่นใหม่ที่ไฮไลท์ ‘Oud Wood’ ในคอลเล็กชั่นน้ำหอมชั้นสูง L'Art & La Matière ผ่านบทสัมภาษณ์เอ็กซ์คลูซีฟกับ Thierry Wasser มาสเตอร์เพอร์ฟูมเมอร์รุ่นที่ 5 แห่งแบรนด์ Guerlain ที่พาเราเจาะลึกแรงบันดาลใจและกระบวนการสร้างสรรค์

     การออกเดินทางเพื่อเสาะหาวัตถุดิบชั้นเลิศและนำมาปรุงเป็นกลิ่นน้ำหอมอย่างสร้างสรรค์และยั่งยืนคือภารกิจหลักที่ Thierry Wasser ผู้กุมบังเหียนตำแหน่งสุคนธกรผู้ปรุงน้ำหอมประจำแบรนด์ Guerlain หนึ่งในแบรนด์ความงามเก่าแก่ระดับลักชัวรีแห่งกรุงปารีส ทำมาตลอดระยะเวลา 14 ปี หลังรับไม้ต่อในฐานะนักปรุงน้ำหอมรุ่นที่ 5 จาก Jean-Paul Guerlain ทายาทนักปรุงน้ำหอมคนสุดท้ายของตระกูลเกอร์แลงเมื่อปี 2008 โดย Thierry นักปรุงน้ำหอมชาวสวิสรับหน้าที่สืบทอดความสำเร็จของหลากหลายคอลเล็กชั่นน้ำหอมที่แบรนด์สร้างสรรค์ไว้ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ L'Art & La Matière คอลเล็กชั่นน้ำหอมชั้นสูง (Haute Parfumerie) ที่ได้แรงบันดาลใจจากงานศิลปะและวัตถุดิบเลอค่าที่ถูกคัดสรรอย่างพิถีพิถัน โว้กได้มีโอกาสพูดคุยกับ Thierry Wasser ผ่านบทสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัวถึงแรงบันดาลใจเบื้องหลังคอลเล็กชั่นน้ำหอม L'Art & La Matière ที่ล่าสุดต้อนรับกลิ่นหอมใหม่ โดยมี Oud Wood หรือไม้หอมกฤษณาเป็นคีย์โน้ต 

 

Thierry Wasser, Guerlain Master Perfumer

 

     “ผมเติบโตในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่ที่ผมใกล้ชิดกับธรรมชาติ ช่วงฤดูร้อนผมชอบไปปีนเขาและเล่นสกีในช่วงฤดูหนาว ตอนอายุ 19 ปีซึ่งเป็นช่วงเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่าจะทำอะไรต่อดี ซึ่งต่อมาผมได้ยินว่ามีบริษัทในสวิตที่ออกแบบน้ำหอม ผมเลยเขียนไปหาเขาและแวะไปเยี่ยมชม ซึ่งภายในโรงงานผลิตของเขามีโรงเรียนที่สอนเกี่ยวกับการทำน้ำหอม พวกเขาทดสอบผมด้วยการให้ลองดมกลิ่นและผมเดาว่าคงทำให้เขาประหลาดใจกันสุดๆ กับการที่ผมเลือกใช้คำมาอธิบายกลิ่นหอมนั้นๆ ต่อมาผมได้มีโอกาสศึกษาต่อและค้นพบว่าตัวเองสนุกกับงานและค่อยๆ หลงรักในอาชีพนี้ เรียกว่าผมไม่ได้วิ่งหาแต่มาเจอกับอาชีพนี้โดยบังเอิญ” Thierry เริ่มต้นบทสนทนากับโว้กที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นจุดนัดพบของสื่อทั่วเอเชียที่เดินทางมาร่วมงานเปิดตัวน้ำหอมกลิ่นใหม่ในไลน์ L'Art & La Matière โดยพาเรากลับไปยังจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขามาร่วมงานกับเกอร์แลง “หลายปีต่อมาผมย้ายไปอยู่ที่กรุงปารีสและนิวยอร์กเพื่อออกแบบน้ำหอม ซึ่งได้พบว่ากลุ่มลูกค้าในยุโรปและอเมริกานั้นมีรสนิยมความชอบที่ต่างกัน…มันเป็นการเรียนรู้ที่ดี พอผมกลับมาที่ปารีส ผมได้มีโอกาสพบกับคุณ Jean-Paul Guerlain และต่อมาในปี 2008 ผมเริ่มทำงานกับเกอร์แลงอย่างเป็นทางการ ตอนนั้นผมอายุ 47 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างตลกเหมือนกันที่ต้องเริ่มใหม่ในวัย 47 เพราะผมต้องเรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการผลิต การเสาะหาวัตถุดิบ และหลากหลายเรื่องที่ไม่เคยรู้มาก่อน ซึ่งผมได้เรียนรู้ทั้งหมดจากตัวคุณเกอร์แลงเองเลย” เขาอธิบายก่อนเสริมติดตลกอีกนิดว่า “ผมว่าลึกๆ แล้วผมยังเป็นเด็กวัย 12 ที่ขี้สงสัยและอยากเรียนรู้อยู่เสมอ”

 

มุมรวมน้ำหอมในคอลเล็กชั่น L'Art & La Matière ภายในงาน

 

     หัวใจของการปรุงน้ำหอมในคอลเล็กชั่น L'Art & La Matière คือวัตถุดิบหายาก ซึ่งทุกๆ การรังสรรค์กลิ่นหอมใหม่ Thierry ไม่เคยหยุดเรียนรู้ ออกเดินทางไปสำรวจแหล่งวัตถุดิบใหม่ๆ รอบโลกเพื่อคัดสรรแต่ละส่วนผสมพิเศษด้วยตัวเอง “แปลตรงตามชื่อเลย คอลเล็กชั่นนี้คือการหลอมรวมศิลปะ (L'Art) เข้ากับวัตถุดิบชั้นเลิศ (La Matière) เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2005 โดยเอกลักษณ์ของคอลเล็กชั่นคือมีขนาดที่ไม่ใหญ่มากเพราะเราผลิตน้ำหอมด้วยวัตถุดิบชั้นเลิศที่หายาก ซึ่งสำหรับไลน์น้ำหอมชั้นสูง (Haute Parfumerie) วัตถุดิบที่มีความแรร์มากๆ ที่ถูกนำมาใช้นั้นมีจำนวนจำกัด นั่นหมายความว่าเราโฟกัสที่การคัดสรรวัตถุดิบที่เลอค่าจริงๆ เท่านั้น โดยหลังจากได้วัตถุดิบคุณภาพที่ดีที่สุดมาแล้ว ขั้นตอนถัดมาคือการชูโรงวัตถุดิบเหล่านั้นใต้สปอตไลท์เหมือนกับนักแสดงนำของเรื่องที่อยู่กลางเวที และบ่อยครั้งสำหรับคอลเล็กชั่น L'Art & La Matière จะมีชิ้นงานศิลปะเป็นแรงบันดาลใจร่วมด้วย” 

 



WATCH



 

     ผลงานมาสเตอร์พีซชิ้นล่าสุดในคอลเล็กชั่น L'Art & La Matière ที่ Thierry ร่วมสร้างสรรค์นี้ฉลองให้กับ Oud Wood หรือไม้หอมกฤษณา ส่วนผสมล้ำค่าที่หายากและราคาสูง ซึ่งถูกนำมาตีความผ่าน 2 คาแร็กเตอร์ในกลิ่นน้ำหอมใหม่ Cherry Oud และ Oud Nude เผยให้เห็นมุมมองใหม่ของไม้หอมกฤษณาส่วนผสมชั้นเลิศที่มีความลึกลับซับซ้อน โดยรังสรรค์ขึ้นเป็นกลิ่นหอมที่เข้าใจง่ายและใช้ได้ทุกวัน “แรงบันดาลใจหลักของกลิ่นนี้มาจากการค้นพบเส้นทางใหม่ของแหล่งวัตถุดิบ ซึ่งครั้งนี้เราตีความไม้หอมกฤษณา (Oud Wood) ผ่านน้ำหอม 3 คาแร็กเตอร์ บ่อยครั้งไม้หอมกฤษณามักถูกมองว่าเป็นแนวกลิ่นที่ดาร์ก ลึกลับ และสตรองเกินไป ซึ่งสำหรับกลิ่น Oud Khol (ไม่เข้าวางจำหน่ายในประเทศไทย) จะไปทางนั้นเลย แต่สำหรับ Cherry Oud และ Oud Nude นั้นค่อนข้างแตกต่างไปเลย Cherry Oud จะเป็นแนวกลิ่นที่ขี้เล่น สนุก ก่อนอื่นเลย ใครจะไปคิดว่าไม้หอมกฤษณาและเชอร์รี่จะมาอยู่ด้วยกันได้ โดยให้กลิ่นหอมที่หรูหราแต่แฝงความสนุกด้วยกลิ่นฟลอรัลฟรุ๊ตตี้ของเชอร์รี่สีแดงที่สดใสเปล่งประกายคล้ายกับผลงานศิลปะบอลลูนที่มีสีแดงแวววาวอันโด่งดังของศิลปินป๊อปอาร์ตอย่าง Jeff Koons ส่วน Oud Nude มอบกลิ่นหอมแนวแอมเบอร์รี่-วู้ดดี้ที่อบอุ่นนุ่มลึก ซึ่งทั้ง 3 กลิ่นถ่ายทอดอารมณ์ที่แตกต่างกัน” สุคนธกรคนดังเล่าถึงแรงบันดาลใจพร้อมเผยถึงแหล่งที่มาของไม้หอมกฤษณาที่นำมาใช้ปรุงกลิ่นหอมนี้ว่ามาจากรัฐอัสสัม ประเทศอินเดีย นอกเหนือไปจากใส่ใจกับคุณภาพของไม้ที่ต้องเป็นเลิศแล้ว Thierry เน้นย้ำว่าเกอร์แลงยังคำนึงถึงความยั่งยืนของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย โดยแบรนด์จะปลูกต้นไม้ทดแทนให้กับทุกๆ ต้นที่ถูกตัดลง รวมไปถึงกรรมวิธีในการเก็บเกี่ยวที่ทำด้วยมือซึ่งสืบทอดต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น 

 

ไม้หอมกฤษณา (Oud Wood)

 

     กลิ่นหอมของไม้หอมกฤษณาในฮาร์ตโน้ตของ Cherry Oud และ Oud Nude คือหัวน้ำหอมเข้มข้นที่ได้มาจากการสกัดด้วยไอน้ำจนได้ยางเหนียวสีดำ โดยเมื่อนำมาผสานเข้ากับส่วนผสมอื่นช่วยเผยถึงเฉดสีที่หลากหลายของไม้หอมกฤษณาที่แข็งแกร่งแต่เปี่ยมด้วยเสน่ห์เฉพาะตัว Thierry เล่าถึงกระบวนการสร้างสรรค์กลิ่นว่า “นักแสดงนำของเรื่องนี้คือ Oud และ Cherry ซึ่งค่อนข้างจะเป็นคู่ที่แปลกใหม่เมื่อจับมาอยู่ด้วยกันบนเวที การจัดไฟบนเวทีหรือการไฮไลท์เอกลักษณ์ของแต่ละโน้ตจึงสำคัญ โดยเราไฮไลท์ความขี้เล่นสดใสของเชอร์รี่และชูความสตรองของ Oud ด้วยโน้ตอย่าง พิมเสน ฟลอรัล และฟรุ้ตตี้ ในขณะ Oud Nude ที่มาในเฉดสีบลอนด์อ่อนละมุน เปิดสัมผัสแรกด้วยกลิ่นของไวท์อัลมอนด์ ผสานกับ Raspberry Accord ที่มอบกลิ่นหอมหวานอันโปร่งเบา โดยมีไม้ซีดาร์วู้ดที่มอบความหรูหรารวมถึงกลิ่นหอมของแซนดัลวู้ดและสีสันแห่งวานิลลาจากมาดากัสการ์ที่ช่วยขับเน้นกลิ่นหอมของไม้หอมกฤษณาให้สง่างามและนุ่มนวลยิ่งขึ้น” ซึ่งหลังจากโว้กบิวตี้ได้ลองดมทั้ง 2 กลิ่นพบว่าเป็นน้ำหอมที่มีส่วนผสมของไม้หอมกฤษณาที่เข้าใจง่าย ไม่ดุดัน และปลุกความรู้สึกที่แตกต่างกันได้อย่างน่าหลงใหล คนที่เป็นสายหวานชื่นชอบกลิ่นน้ำหอมแนวสดใสแต่ไม่หวานเลี่ยน แนะนำให้ลองกลิ่น Cherry Oud ส่วนถ้าคุณเป็นคนติดใจกลิ่นหอมแนวโปร่งเบาแต่เย้ายวนนิดๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว กลิ่น Oud Nude อาจเป็นน้ำหอมกลิ่นโปรดกลิ่นใหม่ที่ทำให้หลงรักได้ไม่ยาก 

 

 

 

 

     สีโรซี่เบจของ Oud Nude และสีแดงเข้มของ Cherry Oud ส่องประกายผ่านขวดน้ำหอมที่ทำจากแก้วหรูหรา ขวดของทั้ง 2 กลิ่นคงเอกลักษณ์ดั้งเดิมของขวดน้ำหอมในคอลเล็กชั่น L'Art & La Matière ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นในปี 1853 เอาไว้ มาพร้อมการสลักรูป “ผึ้ง” ซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์ของแบรนด์เกอร์แลงลงบนขวด ผลิตโดย Pochet Du Courval บริษัทผู้เชี่ยวชาญในการผลิตเครื่องแก้วอันมีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน ซึ่งถือเป็นมรดกประวัติศาสตร์อันล้ำค่าของเกอร์แลง  

 

 

     ก่อนบทสนทนาที่สบายๆ และเป็นกันเองในช่วงเช้าสายๆ จะจบลง Thierry แชร์ทิ้งท้ายกับเราถึงวิสัยทัศน์และจุดมุ่งหมายที่เกอร์แลงกำลังก้าวไป “คุณไม่สามารถเป็นแบรนด์อายุเกือบ 200 ปีที่ยังคงอยู่ในกระแสได้ ถ้าคุณไม่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนตั้งแต่วันแรก” เขาบอกกับโว้กด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ จริงอยู่ที่ในปัจจุบันแวดวงความงามได้หยิบยกประเด็นรักษ์โลกมาพูดถึงกันมากขึ้น แต่เกอร์แลงไม่ได้เพิ่งมาตระหนัก แต่ลงมือทำมานานแล้ว อย่างล่าสุดในปีนี้ได้มีการผลิตขวดน้ำหอมโดยใช้แก้วรีไซเคิลพร้อมเปิดตัวรีฟิลสำหรับน้ำหอม หรือโครงการที่ทำมานานกว่า 10 ปีอย่าง The Guerlain  for  Bees  Conservation  Programme ที่ชวนสาวกของแบรนด์ร่วมอนุรักษ์พันธุ์ผึ้ง แมลงตัวจิ๋วที่มีบทบาทยิ่งใหญ่ในการสร้างสมดุลให้ระบบนิเวศ นอกจากนี้ Thierry เสริมต่อว่าสำหรับตัวเขาคำว่ายั่งยืนในที่นี้ยังหมายถึงความสัมพันธ์ที่แข็งแรงที่เกอร์แลงมีต่อพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจจากในอดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตขวดน้ำหอมหรือเจ้าของฟาร์มที่จำหน่ายวัตถุดิบให้กับแบรนด์ “ประวัติศาสตร์และความเป็นมาของแบรนด์ช่วยให้เรามีวิสัยทัศน์เกี่ยวกับอนาคตที่ชัดเจนยิ่งขึ้น” เขากล่าวปิดท้าย

 

สามารถตามไปสัมผัสกลิ่นหอมของ Cherry Oud และ Oud Nude (100 มล. ราคา 13,000 บาท / 200 มล. ราคา 18,800 บาท) รวมถึงน้ำหอมในคอลเล็กชั่น L'Art & La Matière ทั้ง 21 กลิ่น ได้แล้ววันนี้ วางขายเฉพาะที่เคาน์เตอร์ Guerlain สาขาสยามพารากอน ชั้น M และทาง Line Official Account: @guerlainth

 

WATCH