ทำความรู้จัก 6 ประเภทของสิวที่หลัง พร้อมแนะนำวิธีดูแลรักษาที่ถูกต้อง

     ‘สิวที่หลัง’ ถึงแม้จะอยู่ในร่มผ้าแต่ก็ทำให้หลายคนสูญเสียความมั่นใจได้ไม่น้อย โดยเฉพาะเวลาใส่ชุดว่ายน้ำหรือเสื้อโชว์หลัง ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ นอกจากจะเกิดจากแบคทีเรียและความมันจนเกิดการอุดตันแล้ว ยังอาจเกิดจากฮอร์โมน ความเครียด รวมถึงพฤติกรรมในการใช้ชีวิต บทความนี้โว้กบิวตี้จึงจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ 6 ประเภทของสิวที่หลัง พร้อมแนะนำวิธีดูแลรักษาที่ถูกต้องกัน

 

 

สิวอุดตันหัวดำ (Blackheads)

     สิวอุดตันหัวดำ (Blackheads) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สิวอุดตันหัวเปิด (Open Comedone) มีลักษณะเป็นจุดสีดำขนาดเล็ก สามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งเกิดจากการสะสมของเคราตินและไขมัน (Sebum) อุดตันอยู่ภายในรูขุมขน ในระยะแรกหัวสิวจะเป็นสีเหลือง แต่เมื่อสัมผัสกับอากาศและสิ่งสกปรกไปสักระยะหนึ่งหัวสิวจะเปลี่ยนเป็นสีดำ

วิธีดูแลรักษา

     สิวที่หลังประเภทสิวอุดตันหัวดำสามารถรักษาได้ด้วยการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีส่วนผสมของสารผลัดเซลล์ผิวอย่าง กรดซาลิไซลิก,  AHA, PHA, BHA และ LHA เพื่อผลัดเซลล์ผิวให้หลุดออก ลดการอุดตัน และลดเลือนรอยสิวให้ดูจางลง หรืออาจจะใช้ยาละลายหัวสิวกลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอหรือกรดวิตามินเอ เพื่อลดการอุดตันของเคราตินในรูขุมขน

 

สิวอุดตันหัวขาว (Whiteheads)

     สิวอุดตันหัวขาว (Whiteheads) หรือสิวอุดตันหัวปิด (Closed Comedones) จัดเป็นสิวอุดตันเช่นเดียวกับสิวหัวดำ แต่จะแตกต่างกันตรงที่สิวอุดตันหัวขาวมีลักษณะเป็นตุ่มเม็ดเล็ก ๆ สีขาวบนผิวหนัง เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่อุดตันอยู่ภายในรูขุมขนใต้ผิวหนัง จึงไม่สามารถมองเห็นหัวสิวได้จากภายนอก

วิธีดูแลรักษา

     สิวที่หลังประเภทสิวอุดตันหัวขาวสามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยาแต้มสิวที่มีส่วนผสมของ Benzoyl Peroxide หรือ Retinoids ที่ออกฤทธิ์ลดการอักเสบ ฆ่าเชื้อสิว และลดการอุดตันรูขุมขน

 

 

สิวตุ่มแดง (Papule)

     สิวตุ่มแดง (Papule) เป็นสิวไม่มีหัว เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนและการติดเชื้อจากแบคทีเรีย จนอาการอักเสบบริเวณรูขุมขนและต่อมไขมันใต้ผิวหนัง หรืออาจเกิดจากการบีบ แกะ และกดสิวอุดตันทำให้เชื้อแบคทีเรียและสิ่งสกปรกเข้าสู่ผิวหนัง จนพัฒนากลายเป็นสิวอักเสบในที่สุด 

วิธีดูแลรักษา

     สิวที่หลังประเภทสิวตุ่มแดง ซึ่งงเป็นสิวที่ไม่มีหัวจึงไม่สามารถกดออกได้เหมือนสิวอุดตัน จึงควรใช้ยาที่มีส่วนผสมของ Benzoyl Peroxide ที่มีฤทธิ์ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย

 

สิวหัวหนอง (Pustule)

     สิวหัวหนอง (Pustule) จัดเป็นหนึ่งในประเภทของสิวอักเสบเช่นเดียวกับสิวตุ่มแดง (Papule) แตกต่างกันตรงที่สิวหัวหนองมีลักษณะเป็นตุ่มสีแดงบริเวณฐาน ตรงกลางเป็นตุ่มหนองสีขาวเหลือง ซึ่งเกิดจากการอักเสบติดเชื้อจนหนองก่อตัวขึ้นมาใต้ชั้นผิวหนัง เมื่อสัมผัสจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อย

วิธีดูแลรักษา

     สิวที่หลังประเภทสิวหัวหนอง สามารถรักษาได้ด้วยยาทาเฉพาะที่ที่ช่วยรักษาสิวหัวหนอง เช่น กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid), เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide), คลินดาไมซิน (Clindamycin) และเรตินอล (Retinol)

 

 

สิวอักเสบขนาดใหญ่ (Nodule)

     สิวอักเสบขนาดใหญ่ (Nodule) มีลักษณะเป็นตุ่มแดงขนาดใหญ่ใต้ผิวหนัง หรือเป็นก้อนขนาดใหญ่ แข็งเป็นไต และไม่มีหัวหนอง เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย และลุกลามไปยังชั้นผิวหนังที่ลึกกว่าปกติ หรือมีสาเหตุมาจากการบีบ หรือกดสิวหัวหนอง (Pustule)  ทำให้แบคทีเรียในตุ่มสิวแตกกระจายอยู่ใต้ผิวหนัง จนเกิดการอักเสบบวมแดงตามมา

วิธีดูแลรักษา

     สำหรับคนที่เป็นสิวที่หลังประเภทสิวอักเสบขนาดใหญ่ สามารถรักษาได้ด้วยตัวเองได้ด้วยการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวสูตรอ่อนโยน เพื่อป้องกันการระคายเคืองผิว ร่วมกับการใช้ยาทาเฉพาะที่ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid), เบนซิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) และสารสกัดจากต้นทีทรี (Tea Tree Oil) ที่มีคุณสมบัติช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ลดการอักเสบ และช่วยให้สิวยุบตัวเร็วขึ้น

 

สิวหัวช้าง (Nodulocystic Ance)

     สิวหัวช้าง (Nodulocystic Ance) เกิดจากการอักเสบอย่างรุนแรงของรูขุมขนที่มีน้ำมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้วอุดตันสะสมจนเกิดการก่อตัวของเชื้อแบคทีเรีย P. acne เมื่อสัมผัสจะรู้สึกเจ็บปวดมากกว่าสิวประเภทอื่นๆ โดยตุ่มสิวจะมีความอ่อนนุ่มเหมือนมีของเหลวอยู่ด้านใน แต่ไม่มีหัวหนอง

วิธีดูแลรักษา

     สิวที่หลังประเภทสิวหัวช้าง (Nodulocystic Ance) สามารถรักษาได้ด้วยการทายาทาเฉพาะที่ หรือรับประทานยารับประทานสำหรับรักษาสิวหัวช้าง สำหรับการทายาทาเฉพาะที่กลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ (Retinoids) ยาทารักษาสิว Benzoyl Peroxide และยาต้านจุลชีพ Azelaic Acid ส่วนรับประทานยารับประทานสำหรับรักษาสิวหัวช้าง เช่น Tetracyclines, Doxycycline และ Erythromycin ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะที่มีส่วนช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียได้อย่างมีประสิทธิภาพ