นี่คือ 6 ส่วนผสมสำคัญที่ควรมองหาในการเลือกซื้อโทนเนอร์

Hyper-Fit Balancing Toner จาก FEEV (ราคา 995 บาท)

• Niacinamide

หรือที่รู้จักกันในชื่อวิตามิน บี3 เป็นส่วนผสมที่อุดมไปด้วยประโยชน์นานาชนิด ไม่ว่าจะเปผ็นการช่วยลดเลือนริ้วรอยก่อนวัย ปรับสมดุลผิวให้ผิวผลิตน้ำมันอย่างบาลานซ์และกระชับรูขุมขนให้เล็กลง และที่สำคัญที่สุดคือช่วยเสริมเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงมากกว่าเดิม ใครที่มีผิวบอบบางควรเลือกส่วนผสมนี้

Fat Water Pore-Refining Toner Serum จาก Fenty Skin (ราคา 970 บาท)

• Hyaluronic Acid

ถ้าอยากเติมความชุ่มชื่นต้องส่วนผสมนี้ เพราะกรดไฮยาลูรอนิกมีความสามารถในการดึงดูดน้ำในชั้นผิวหนัง ช่วยให้เกิดความเรียบเนีรยน ผิวนุ่มลื่น และยืดหยุ่นขึ้น จึงจะช่วยเติมเต็มร่องลึกและส่วนที่แห้งให้ผิวดูอิ่มเอิบยิ่งขึ้น

RiceMoss HyaQuench™ Pore Minimizer Alcohol-free Toner จาก Panpuri (ราคา 1,150 บาท)

• Glycerin

กลีเซอรีนทำหน้าที่เสมือนเป็นมอยส์เจอไรเซอร์เพื่อปกป้องผิวไม่ให้แห้งและดูดซับความชื้นเมื่อสัมผัสกับอากาศ จึงช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวอย่างอ่อนโยน พร้อมสร้างเซลล์ผิวใหม่เป็นเกราะป้องกันให้ผิวแข็งแรงขึ้น

Astringent Toner จาก THANN (ราคา 900 บาท)

• Lactic Acid

การใช้โทนเนอร์ถือเป็นการผลัดเซลล์ผิวอย่างหนึ่ง ฉะนั้นควรเลือกกรดที่มีความอ่อนโยนต่อผิวอย่างกรดแลกติค เป็นกรดที่พบได้ในนมและน้ำตาลจากผลไม้ ทำหน้าที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าออก ลดปัญหาความหมองคล้ำและสีผิวไม่สม่ำเสมอ

Kombucha + 11% AHA Exfoliation Toner with Lactic Acid จาก Youth To The People (ราคา 1,850 บาท)

• Salicylic Acid

"กรดซิลิซิลิก" หรือ "BHA" มีหน้าที่ช่วยละลายความมันส่วนเกินของผิวหน้าได้ถึงผิวชั้นใน และเข้าถึงตามรูขุมขนต่างๆ เพื่อกำจัดสิ่งอุดตันที่อยู่ในรูขุมขนได้เป็นอย่างดี จึงช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าออกพร้อมปรับสภาพรูขุมขนให้กระชับขึ้น ลดปัญหาสิวอุดตัน สิวเสี้ยน สิวอักเสบได้เป็นอย่างดี ใครที่มีปัญหาสิวหรือผิวมันควรมองหาส่วนผสมนี้

Vinopure Clear Skin Purifying Toner จาก Caudalie (ราคา 1,040 บาท)