นี่คือ 6 ส่วนผสมสำคัญที่ควรมองหาในการเลือกซื้อเซรั่ม

Vitamin Series Hya Intensive Hydrating Booster จาก Skinsista (ราคา 790 บาท)

• Niacinamide

หรือ วิตามินบี 3 เป็นส่วนผสมที่อัดแน่นไปด้วยคุณประโยชน์นานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นการช่วยลดปัญหารอยสิวและริ้วรอยกวนใจ ปรับสมดุลการสร้างน้ำมันบนชั้นผิว กระชับรูขุมขนให้เล็กลง ปลอมประโลมผิวจากปัญหาผิวต่างๆ และเสริมความแข็งแรงให้ผิวจากสารอนุมูลอิสระและมลภาวะภายนอก

Prorenew Niacinamide Serum จาก Dermcells (ราคา 600 บาท)

• AHA

เป็นกรดที่ได้จากผลไม้ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการช่วยแก้ปัญหาจุดด่างดำและความหมองคล้ำให้ผิวแลดูกระจ่างใสขึ้น เพราะจะช่วยเร่งการผลิตเซลล์ผิวใหม่และจัดการกับผิวที่ไม่สม่ำเสมอให้ดูสดใสมากขึ้น แนะนำให้ใช้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ไม่จำเป็นต้องใช้ทุกวันเพราะอาจเกิดการผลัดเซลล์ผิวมากเกินไปจนทำให้ผิวระคายเคืองได้

Serum Brightening Vit A+ จาก JUV (ราคา 890 บาท)

• Retinol

ใครที่กังวลเรื่องริ้วรอยและความหน่อยคล้อย ลองมองหาส่วนผสมนี้ เพราะจะช่วยเร่งกระบวนการสร้างเซลล์ให้เร็วขึ้น โดยเฉพาะเซลล์คอลลาเจนที่เสียหาย พร้อมฟื้นฟูเส้นริ้วรอยหรือรอยย่นต่างๆ ให้กลับมาแลดูตื้นขึ้นได้ แนะนำให้ใช้ตอนกลางคืนมากกว่าตอนกลางวัน และตามด้วยครีมบำรุงผิวเพื่อล็อกความชุ่มชื้นไว้ นอกจากนี้ใครที่มีผิวแพ้ง่ายหรือผิวบอบบางควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อนใช้

Vitamin A 0.5% With Evening Primrose Serum จาก Alpha-H (ราคา 1,720 บาท)

• Vitamin C

 เซรั่มวิตามินซีจะช่วยลดจุดด่างดำบนใบหน้า ลดความหมองคล้ำและปรับให้ผิวกระจ่างใสขึ้น กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้กับผิวอีกด้วยทำให้ผิวดูขาวขึ้นได้ นอกจากนี้ยังช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระปกป้องอันตรายจากแสงยูวี จึงมีคุณสมบัติช่วยชะลอริ้วรอยก่อนวัยได้ด้วย

Liftactiv Vitamin C Super Serum จาก Vichy (ราคา 1,200 บาท)

• Salicylic

กรดซาลิซิลิกช่วยผลัดเซลล์ผิวไวขึ้น ลดปัญหารอยดำที่เกิดจากสิว ปรับสมดุลความมันใต้ชั้นผิว ทำให้น้ำมันส่วนเกินบนผิวหน้าน้อยลง ช่วยยับยั้งการเกิดสิวอุดตัน สิวอักเสบ สิวเสี้ยน หรือสิวหัวดำ แถมกระชับรูขุมขน ทำให้ผิวใสและดูเรียบเนียนด้วย เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวผสมและผิวมัน

BHA Clarifying Serum จาก Fyne (ราคา 990 บาท)