Immortelle Reset Oil-in-Serum จาก Loccitane (ราคา 2,450 บาท)

2. Oil-In-Lotion

โลชั่นน้ำในรูปแบบออยล์หลอมรวมเป็นเนื้อสัมผัสที่บางเบาและสดชื่น ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยจึงทำให้ส่วนผสมบำรุงสามารถซึมซาบสู่ผิวภายในจนได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ โดยที่พื้นผิวไม่สูญเสียความชุ่มชื้น ในโลชั่นของบางแบรนด์ยังใช้เป็นโทนเนอร์ได้ในตัวด้วย ช่วยข้ามขั้นตอนการลงเอสเซนซ์และอิมัลชันไปสู่เซรั่มได้เลย จึงลดขั้นตอนการบำรุงผิวไปได้มาก

Ultime8 Sublime Beauty Oil In Lotion จาก Shu Uemura (ราคา 2,300 บาท)

3. Oil-In-Cream

ออยล์ในเนื้อสัมผัสแบบครีมเหมาะกับผิวธรรมดาถึงผิวแห้งหรือแห้งมาก พอเกลี่ยเนื้อครีมนุ่มเนียนบนผิวแล้วจะแตกตัวเป็นเนื้อออยล์ซึมซาบเข้าสู่ผิวอย่างรวดเร็ว ส่วนความลื่นของเนื้อสัมผัสทำให้ใช้เป็นครีมนวดหน้าเสริมความกระชับผิวได้ด้วย นับเป็นไฮบริดสกินแคร์ที่เปลี่ยนเทกซ์เจอร์ครีมจากเนื้อหนาหนักมาเป็นเนื้อนุ่มละมุน ซึ่งช่วยเสริมความรู้สึกรื่นรมย์ในการใช้ได้มากยิ่งขึ้น

Blue Therapy Cream-In-Oil จาก Biotherm (ราคา 2,800 บาท)

4. Primer Oil

ออยล์ไพรเมอร์สำหรับใช้ก่อนแต่งหน้าเป็นตัวช่วยบูสต์ผิวให้ชุ่มชื่นและเนียนนุ่มอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ลงเมกอัพตามได้ง่ายและเกลี่ยกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกับผิวอย่างเป็นธรรมชาติ เนื้อสัมผัสมีความบางเบากว่าเฟซออยล์บำรุงผิวทั่วไป และเหมาะกับผิวธรรมดาถึงผิวแห้งที่ต้องการเมกอัพลุคสไตล์ดิวอี้สกิน แนะนำให้รอจนออยล์ซึมซาบและเซตตัวดีก่อนค่อยลงรองพื้น

Photo Finish Primer Oil จาก Smashbox (ราคา 1,500 บาท)

5. Oil-In-Essence

ปกติเอสเซนซ์จะมีหน้าที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิวก่อนการลงสกินแคร์ตัวอื่นๆ ตามมาทีหลังอยู่แล้ว แต่เมื่อได้ออยล์มาเป็นเนื้อสัมผัสในเอสเซนซ์ก็จะยิ่งช่วยให้สามารถซึมซาบเข้าไปบำรุงผิวได้อย่างล้ำลึกมากกว่าเดิม แถมยังเคลือบผิวไม่ให้แห้งกร้านอีกด้วย

Aiming Facial Oil Essence จาก THREE (ราคา 5,800 บาท)