BODY

รู้หรือไม่ว่าสภาพผิวส่งผลต่อกลิ่นน้ำหอมที่ใช้? เลือกน้ำหอมอย่างไรให้เข้ากับสภาพผิว?

ไม่ใช่แค่สกินแคร์ที่ควรเลือกให้เข้ากับสภาพผิว น้ำหอมก็เช่นกัน

รู้หรือไม่ว่าสภาพผิวของเราส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของกลิ่นน้ำหอมที่เราใช้ได้ด้วย? เพราะผิวของเรามีปฏิกิริยาต่อส่วนผสมในน้ำหอม เช่น แอลกอฮอล์ หากเรามีผิวแห้งแน่นอนว่าจะสามารถดูดกลิ่นของน้ำหอมเข้าผิวได้อย่างรวดเร็ว ฉะนั้นควรเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวดด้วยบอดี้โลชั่นเสียก่อน เพื่อที่จะทำให้กลิ่นหอมติดทนอยู่กับเรายาวนานและไม่ทำให้กลิ่นเพี้ยนอีกด้วย มาดูกันว่าสภาพผิวของเราควรเลือกน้ำหอมชนิดไหนกันแน่?

 

ผิวแห้ง

เป็นผิวที่พร้อมจะดูดซับกลิ่นหอมเอาไว้ จึงทำให้กลิ่นน้ำหอมจางลงได้อย่างรวดเร็ว ฉะนั้นควรเติมความชุ่มชื้นลงไปด้วยการทาบอดี้โลชั่นแบบไม่มีกลิ่นหอม แล้วใช้น้ำหอมกลิ่นที่ชอบในความเข้มข้นที่มากกว่าปกติ ซึ่งมักจะอยู่ในรูป ParfumEau de Parfum (EDP) และ Eau de Toilette (EDT) เพราะจะติดทนเป็นเวลาค่อนข้างนานประมาณ 6-8 ชั่วโมง จึงควรหลีกเลี่ยงน้ำหอมชนิดที่เป็น Eau de Cologne (EDC) หรือ Body Mist เพราะเป็นน้ำหอมที่มีระดับความเข้มข้นน้อยที่สุด จะทำให้กลิ่นจางหายไปภายในไม่กี่ชั่วโมง

1 / 3

Mon Paris Parfum Floral จาก Yves Saint Laurent

2 / 3

Guilty Eau de Parfum Pour Femme For Women จาก Gucci

3 / 3

Miss Dior Eau de Toilette จาก Christian Dior

ผิวมัน

ปกติผิวจะมีน้ำมันซึ่งช่วยให้กลิ่นหอมติดทนและกระจายกลิ่นค่อนข้างดี แต่สภาพผิวแบบนี้ก็มักจะทำให้กลิ่นหอมเปลี่ยนเป็นกลิ่นที่ฉุนขึ้นได้ในช่วงระหว่างวัน ฉะนั้นควรเลือกใช้น้ำหอมชนิดที่มีกลิ่นอ่อนโยนหรือเบาบางอย่าง Eau de Toilette (EDT) หรือถ้าใครอยากเพิ่มความหอมให้กับโอกาสพิเศษเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็สามารถใช้แค่แบบ Eau de Cologne (EDC) ก็ได้ โดยควรหลีกเลี่ยงน้ำหอมที่มีกลิ่นฉุนๆ อย่าง Oriental และ Woody แนะนำให้เลือกเป็นแนวหอมหวาน สดชื่นอย่าง Floral และ Fruity แทน



WATCH



1 / 2

Her Blossom Eau de Toilette จาก Burberry

2 / 2

London Poppy and Barley Eau de Cologne จาก Jo Malone London

ผิวที่มีเหงื่อออกง่าย และ ผิวแพ้ง่าย

น้ำหอมบางชนิดอาจทำให้ผิวรู้สึกแสบร้อนได้ เพราะน้ำหอมมีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ เมื่อรูขุมขนเปิดให้เหงื่อไหลออกมาจะทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้ ฉะนั้นควรเลือกน้ำหอมที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เพียงเล็กน้อยอย่าง Parfum เพราะใช้หัวน้ำหอมในปริมาณมาก ซึ่งจะติดทนยาวนานเป็นเวลา 8-10 ชั่วโมง ส่วนอีกแบบคือ Eau Fraiche เป็นน้ำหอมที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เพราะใช้น้ำเป็นส่วนผสมแทน หรืออาจจะเลือกใช้ Body Mist หรือ Body Spray จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของสภาพผิวประเภทนี้ แต่สองประเภทนี้จะติดทนเพียง 2-4 ชั่วโมงเท่านั้น

1 / 3

Chanel No.5 Parfum จาก Chanel

2 / 3

Bronze Goddess Eau Fraiche จาก Estée Lauder

3 / 3

Mandarino Di Amalfi All Over Body Spray จาก Tom Ford

WATCH