BODY

‘Body Neutrality’ แนวคิดทางสายกลางเพื่อเข้าใจความเป็นธรรมชาติของร่างกาย

เรากำลังผูกมัดคุณค่าและความสุขของชีวิตเข้ากับสัดส่วนหรือสมรรถภาพร่างกายของตัวเองอยู่หรือเปล่า?

หลังจากการเบิกเนตรของคนในสังคมว่าค่านิยมความสวยไม่ได้มีเพียงรูปร่างที่ผอมเพรียวหรือฟิตแอนด์เฟิร์ม จนเริ่มมีการตระหนักเรื่องการล้อเลียนรูปร่างอย่าง ‘Body Shaming’ หรือการโอบกอดรูปร่าง เพศ สีผิวและความสามารถที่เกี่ยวข้องกับร่างกายของเราในแนวคิด ‘Body Positivity’ รวมถึงหนึ่งการขับเคลื่อนในแคมเปญ ‘Real Size Beauty’ ในประเทศไทยจากแอน-แอนชิลี มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ปี 2021 ที่สร้างแรงกระเพื่อมและการถกเถียงกันอย่างแพร่หลายของคนในสังคม และมาสู่แนวคิดทางสายกลางอีกหนึ่งอย่างที่น่าสนใจนั่นคือ ‘Body Neutrality

จุดเริ่มต้นจากสังคม ‘คนอ้วน’

ย้อนกลับไปประมาณช่วงยุค 60s เกิดแคมเปญ ‘Fat Rights Movement’ หรือ ‘Fat Acceptance Movement’ เพื่อเรียกร้องให้หยุดวัฒนธรรมยกยอรูปร่างที่ผอมเพรียว และดูถูกเหยียดหยามหรือริดรอนสิทธิ์ของคนอ้วน ซึ่งในยุคนั้นภาพของคนอ้วนทั้งบนสื่อโฆษณาหรือแม้กระทั่งชีวิตประจำวันถูกมองข้ามอย่างน่าอึดอัด จนอาจเรียกว่าไม่มีแม้แต่ตัวตนหรือพื้นที่ในการใช้ชีวิตก็เป็นได้

 

ต่อมาในช่วงต้นยุค 2000s ที่อินเทอร์เน็ตเริ่มมีบทบาทและผู้คนเริ่มใช้ชีวิตบนโลกออนไลน์กันมากขึ้น หลายคนแสดงความคิดเห็นหรือวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นจนเกิดขอบเขตของความเหมาะสม จนตามมาซึ่งการเรียกร้องให้สังคมตระหนักเรื่อง ‘Cyber Bullying’ ที่ไม่นับเพียงแต่รูปร่างหน้าตา (Body Shaming) แต่ยังรวมถึงเพศและสีผิวอีกด้วย 

 

เมื่อการเบิกเนตรเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นขั้นเป็นตอน จนสังคมเริ่มให้เกียรติซึ่งกันและกันทั้งรูปร่าง เพศ สีผิวและความคิดเห็น จึงเกิดการให้ความสำคัญเรื่องความคิด-จิตใจและโอบกอดร่างกายของเราตามแนวคิด ‘Body Positivity’ เพื่อทำให้เราทุกคนสามารถรักตัวเองและมั่นใจกับร่างกายและตัวตนของเราได้แบบไม่ต้องอิงกับมาตรฐานใดๆ



WATCH



Body Neutrality

แนวคิด Body Neutrality ถือเป็นแนวคิดที่ช่วยผลักดันและแก้ปัญหาให้กับคนที่ต้องการความมั่นใจกับร่างกายที่มองเห็นได้แบบรูปธรรม เพราะแนวคิดนี้ไม่ได้เน้นเพียงการเปลี่ยนมุมมอง แต่เป็นการทำความเข้าใจถึงร่างกายในทุกสัดส่วนที่รวมถึงอวัยวะ โดยไม่จำเป็นต้องกล่อมให้รู้สึก ‘รัก’ หรือ ‘หลงใหล’  ในร่างกายของเรา เพียงทำความเข้าใจและดูแลร่างกายทั้งหมดให้ทำงานได้อย่างเป็นไปตามธรรมชาติปราศจากปัญหาหรือโรคภัยต่างๆ

ภาพ: Imgur

ความแตกต่างระหว่าง Body Positivity และ Body Neutrality

เริ่มต้นกับ Body Positivity ที่เป็นแนวคิดแบบปรับมุมมองและเพิ่มความรักให้กับร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นสัดส่วน สีผิวรวมถึงเพศ โดยไม่ยึดติดกับมาตรฐานความงามหรือค่านิยมใดใด ซึ่งแนวคิดนี้จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับทุกกลุ่มคนและสร้างความเชื่อมั่นในคุณค่าของตัวตนที่นำมาซึ่งความรู้สึก ‘รัก’ ต่อร่างกาย แต่สำหรับ Body Neutrality ไม่ได้เน้นที่ความรู้สึกรักหรือการมองแง่บวก แต่เน้นความเข้าใจแก่นแท้ของร่างกาย เพื่อให้เราสามารถดูแลร่างกายให้แข็งแรง และสามารถใช้สมรรถภาพของร่างกายที่มีไปใช้ชีวิตได้อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งหากเข้าใจร่างกายของตัวเองเมื่อไร เมื่อนั้นความมั่นใจก็จะเกิดขึ้นกับการใช้ชีวิต และไร้ซึ่งความวิตกกังวลหรือความเครียดที่ส่งผลจากมาตรฐานต่างๆ ของสังคม

 

ภาพ: Copinesdeboudoir/ Aurélie Desprès Coaching

สรุป

หากใครอ่านถึงตรงนี้แล้วยังเกิดความสับสนมึนงงก็ไม่ถือเป็นเรื่องแปลก ซึ่งข้อสรุปอันเป็นประเด็นสำคัญสำหรับแนวคิดต่างๆ เหล่านี้คือการสร้างความมั่นคงทางจิตใจ ไม่ให้ไขว้เขวไปกับค่านิยมหรือมาตรฐานสังคมใดๆ ที่พร้อมจะลดทอนคุณค่าของตัวตนและความมั่นใจอยู่ตลอด ความสุขอันสมบูรณ์แบบที่จะเกิดขึ้นกับทั้งร่างกาย จิตใจและการใช้ชีวิตคือความไม่สมบูรณ์แบบที่บางครั้งเราไม่จำเป็นต้องวิ่งตามให้เหนื่อยเปล่า เพียงเข้าใจ ‘ตัวเอง’ ทั้งกายภาพและจิตใจ แล้วดูแลให้ ‘แข็งแรง’ เท่านี้ความสุขที่ยั่งยืนและความมั่นใจที่เพียงพอก็จะเกิดขึ้นในการใช้ชีวิตของเรา

กราฟิกดีไซน์ : จินาภา ฟองกษีร

WATCH

คีย์เวิร์ด: Body Positivity Body Neutrality Mental Health