SKINCARE

Toner 101 เทคนิคการเลือกใช้โทนเนอร์ให้เหมาะกับสภาพผิว

การเลือกโทนเนอร์ให้เหมาะกับสภาพผิวถือเป็นการเปิดทางให้สกินแคร์เข้าบำรุงผิวได้อย่างล้ำลึกมากขึ้น

การที่จะให้สกินแคร์ซึมซาบเข้าสู่ผิวเพื่อบำรุงได้อย่างล้ำลึกนั้นต้องเกิดจากผิวที่พร้อมเสียก่อน เช่น การล้างทำความสะอาดผิวหน้าอย่างหมดจด ซึ่งนอกจากการเลือกเคลนเซอร์ที่ดีแล้วอีกหนึ่งตัวช่วยที่จะเป็นขั้นแรกของการเปิดผิวให้พร้อมคือ “โทนเนอร์” เพราะไอเท็มนี้จะช่วยปรับค่า pH และเติมน้ำให้ผิวพร้อมรับกับสกินแคร์ที่จะลงในขั้นตอนต่อไป ฉะนั้นควรเลือกโทนเนอร์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวเพื่อปูทางให้ผิวได้รับการบำรุงอย่างเต็มที่

 

ผิวแพ้ง่าย

แนะนำให้เลือกใช้โทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของโรสวอเตอร์ คาโมไมล์ สารสกัดจากแตงกวา เพื่อช่วยในการปลอบประโลมผิวและเสริมความแข็งแรงจากการถูกทำร้ายของมลภาวะภายอนก นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงส่วนผสมของแอลกอฮอล์และสารเคมีที่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้

1 / 2

Soon Jung pH 5.5 Relief Toner จาก Etude House (ราคา 620 บาท)

2 / 2

Ultrasensitive Hyaluron Toner จาก Eucerin (ราคา 700 บาท)

ผิวเป็นสิว

ปัญหาที่มักมาคู่กับความมันบนผิวก็คือสิว ดังนั้นโทนเนอร์ที่จะช่วยเข้าปราบให้อยู่หมัด ควรต้องมีส่วนผสมของทีทรีออยล์ สารสกัดจากอะโลเวรา ชาเขียว สารสกัดจากดอกดาวเรือง หรือถ้าใครมีสิวแล้วผิวค่อนข้างบอบบางเกินกว่าจะผลัดเซลล์ได้ ควรใช้โทนเนอร์ลดสิวที่มีส่วนผสมของกรดแลกติกที่มีความอ่อนโยนมากกว่า เพราะสารนี้เป็นสารที่ช่วยให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติที่อยู่ในผิวหนังของเรา



WATCH



1 / 2

Calendula Herbal Extract Alcohol-Free Toner จาก Kiehl's (ราคา 1,500 บาท)

2 / 2

Ctrl-A Teatreement Toner จาก Dr.Jart+ (ราคา 750 บาท)

ผิวแห้ง

ขอให้หลีกเลี่ยงการใช้โทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ และเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากอะโลเวรา น้ำมันมะกอก น้ำผึ้ง และวิตามินอี รวมถึงส่วนผสมที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวอย่าง เซราไมด์ ที่ช่วยรักษาระดับการดูดซึมน้ำ เติมน้ำให้กับเซลล์ผิว และปกป้องผิวให้มีความแข็งแรงมากขึ้น  รวมถึงกรดไฮยาลูกรอนิกที่มีหน้าที่ช่วยกักเก็บน้ำให้ผิวหน้าดูอิ่มน้ำ จึงจะตอบโจทย์ปัญหาผิวมากที่สุด

1 / 2

Olive Real Skin จาก Innisfree (ราคา 630 บาท)

2 / 2

Vinoclean Moisturizing Toner จาก Caudelie (ราคา 1,035 บาท)

ผิวมัน

ผิวมันเกิดจากความมันจากผิวหนังของเราที่ถูกผลิตออกมาจากต่อมไขมันมากเกินไป ฉะนั้นควรเลือกส่วนผสมที่ช่วยกระชับรูขุมขนและควบคุมการสร้างน้ำมันบนใบหน้าของเราอยู่ด้วยไนอาซินาไมด์ หรือ วิตามินบี 3, ซิงก์, กรดซาลิซิลิก และเรตินอล เป็นต้น

1 / 2

Skin Balancing Pore-Reducing Toner จาก Paula's Choice (ราคา 900 บาท)

2 / 2

Green Tea Fresh Toner จาก Isntree (ราคา 650 บาท)

ผิวผสม

สำหรับผิวผสมเป็นผิวที่ค่อนข้างมันแต่อาจจะยังขาดความชุ่มชื้นในบางส่วน จึงควรเลือกใช้โทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิซิลิกที่จะช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปและกระชับรูขุมขนให้เล็กลงมากขึ้น ทำให้ลดสาเหตุของการเกิดสิวได้ หรืออาจจะมองหาไอเท็มที่มีค่า pH 5.5 ซึ่งเป็นค่า pH ที่มีความเหมาะสมกับผิวเรามากที่สุดก็จะช่วยทำให้ผิวสมดุลและแข็งแรงมากขึ้น

1 / 2

Squalane + BHA Pore Minimizing Toner จาก Biossance (ราคา 900 บาท)

2 / 2

Minifying Boosting Toner จาก Jung Saem Mool (ราคา 1,100 บาท)

ผิวที่มีริ้วรอย

ปัญหาริ้วรอยเกิดจากการที่มีผิวแห้งขาดความชุ่มชื้นและอายุที่มากขึ้น จึงควรเลือกโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของสารที่เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวอย่างกรดไฮยาลูรอนิก เพื่อล็อกความชุ่มชื้นไว้ใต้ชั้นผิวอย่างยาวนาน รวมถึงสารสำคัญอย่างแพนทีนอลหรือ วิตามินบี 5 เพราะเป็นสารให้ความชุ่มชื้นและเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวได้เป็นอย่างดี

1 / 2

Yehwadam Myeonghan Miindo Ultimate Toner จาก The Face Shop (ราคา 1,699 บาท)

2 / 2

Toner ; Extract It จาก Huxley (ราคา 1,000 บาท)

ภาพ : Courtesy of the brands

WATCH