Francis Kurkdjian ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ประจำแผนกน้ำหอมคนปัจจุบันของดิออร์

 

การได้ตัวสุคนธกรมากความสามารถอย่าง ฟรานซิส เคิร์กฌิอัง ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ประจำแผนกน้ำหอม นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ทำให้อาณาจักรน้ำหอมของดิออร์ถูกยกระดับขึ้นไปอีกขั้น ด้วยพรสวรรค์ ความสามารถอันล้นเหลือ และวิสัยทัศน์ใหม่ๆ ที่นักปรุงน้ำหอมระดับท็อปคนนี้นำมาประยุกต์เข้ากับดีเอ็นเอของดิออร์

Dior L’Or de J’Adore คือหลักฐานเชิงประจักษ์ที่แสดงให้เห็นว่า ฟรานซิส เคิร์กฌิอัง มีความสามารถและความคิดสร้างสรรค์มากมาย

แน่นอนว่าน้ำหอมมีเสน่ห์ครองใจผู้คนทั่วโลกอยู่แล้ว โดยเฉพาะ Dior J’Adore น้ำหอมขึ้นชื่อเรียกได้ว่าไม่มีใครรู้จักและขึ้นแท่น ‘กลิ่นที่ขายดีที่สุด’ ของเมซงมานานกว่า 20 ปี นั่นหมายความว่า ฟรานซิส เคิร์กฌิอัง ต้องเผชิญกับความท้าทายที่จะพัฒนาของที่ดีอยู่แล้วให้ดีกว่าเดิมยิ่งขึ้น

ภาพสเก็ตช์การสร้างขวดน้ำหอมจากห้องทำงานแผนกน้ำหอมของ Christian Dior ภาพโดย Julia Noni

งานนี้ทำให้ฟรานซิส เคิร์กฌิอัง ต้องแพ็กกระเป๋าออกเดินทางไปยังปารีสหลังจากค้นคว้าบันทึกเก่าๆ ของ Christian Dior ซึ่งถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีภายในหอจดหมายเหตุของแบรนด์ เพื่อรังสรรค์น้ำหอมเวอร์ชั่นอัปเดตของ Dior J’Adore ที่ทั้งมีคุณภาพ ทรงพลัง และมีเอกลักษณ์ ก่อนที่จะได้ค้นพบข้อเท็จจริงที่ว่า ‘การทำให้ทองคำมีความบริสุทธิ์นั้นต้องให้ความร้อนจนโลหะกลายเป็นของเหลว และให้ความร้อนต่อไปจนกว่าสิ่งเจือปนจะหายไป’ ราวกับการกดเปิดสวิตช์ ฟรานซิส เคิร์กฌิอังหันมาตั้งคำถามว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้า J’Adore โดนความร้อน

คำถามนี้นำมาสู่ของเหลวสีทองเข้มข้นที่เปล่งประกายอย่างหรูหรา และใสบริสุทธิ์ราวกับไร้สิ่งเจือปนใดๆ ภายในขวดรูปทรงโค้งมนของ Dior L’Or de J’Adore ด้วยทักษะการเนรมิตสิ่งที่มองเห็นให้กลายเป็นกลิ่นและความรู้สึก ทำให้กลิ่นหวานแหลมทั้งหมดถูกตัดออกเหลือเพียงกลิ่นมะลิ กุหลาบ กระดังงา ลิลลี่ หุบเขา และไวโอเลตผสานกันกลายเป็นกลิ่นที่นุ่มนวลกว่าเดิม นอกจากนี้ยังร่ายเวทมนตร์เติมกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละคนเข้าไปด้วย

 

หากจะถามว่า Dior L’Or de J’Adore ที่ทั้งนุ่มนวลและหรูหราในขวดนี้เหมาะกับใคร ก็คงจะตอบได้ว่าเหมาะกับทุกคนดังที่คริสเตียน ดิออร์ เคยกล่าวไว้ว่า ‘นางแบบของผมคือผู้หญิงทั้งโลก’ และในวันนี้ฟรานซิส เคิร์กฌิอัง ก็ได้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญต่อจิตวิญญาณของแบรนด์เพียงใด