
WATCHES & JEWELLERY
VOGUE SCOOP | เจาะทุกเรื่องจาก Watches & Wonders 2025 งานนาฬิกาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบปีนี้งานนาฬิกาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่าง Watches & Wonders 2025 เป็นการเปิดฉากโลกแห่งนาฬิกาตั้งแต่เรื่องความสวยงามไปจนถึงกลไกอันซับซ้อน ไปจนถึงนวัตกรรมระดับสถิติโลก |
#VOGUESCOOP ครั้งนี้จะพาทุกคนไปสัมผัสกับประสบการณ์ Watches & Wonders ประจำปี 2025 สุดยอดงานนาฬิกาแห่งปีที่รวบรวมผลงานการรังสรรค์ของแบรนด์ชั้นนำระดับโลกอย่างครบถ้วนและเป็นที่จับตามองมากที่สุด ซึ่งทุกปีจะมีสิ่งมหัศจรรย์ไม่ว่าจะเชิงนวัตกรรม เทคโนโลยี งานฝีมือเชิงศิลป์ และอื่นๆ อีกมากมาย นำมาสู่การขับเคี่ยวกันอย่างเข้มข้นในมิติแขนงต่างๆ จนปีนี้ถือเป็นงานนาฬิกาที่ประสบความสำเร็จและได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม นอกจากนี้ยังมีสถิติเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โว้กรวบรวมจัดกลุ่มเรือนเวลาอันน่าประทับใจและความยอดเยี่ยมจนคิดว่าคอนาฬิกาพันธุ์แท้ไม่ควรพลาด
- RECORD BREAKING FOR COMPLICATIONS
คงไม่มีปรากฏการณ์ไหนน่าตื่นเต้นไปกว่าการรังสรรค์นาฬิกาที่มีกลไกซับซ้อนที่สุดในโลก จากปีก่อน Vacheron Constantin เปิดฉากด้วยความฮือฮากับ Les Cabinotiers - The Berkley Grand Complication นาฬิกาที่มีกลไกซับซ้อนถึง 63 แบบ ปี 2025 แบรนด์เฉลิมฉลองครบรอบ 270 ปีด้วยการนำเสนอนาฬิกา Les Cabinotiers Solaria Ultra Grand Complication - La Première นาฬิกาข้อมือที่มีกลไกซับซ้อนที่สุดในโลก ประกอบด้วยกลไกซับซ้อนมากถึง 41 กลไก เสริมด้วยกลไกเชิงดาราศาสตร์แบบพิเศษอีก 5 รูปแบบ หนึ่งในนั้นคือกลไก Westminster Minute Repeater โดยนาฬิกาเรือนนี้มีการจดสิทธิบัตรเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคนิคการรังสรรค์เชิงลึกกว่า 13 ฉบับ ใช้เวลาพัฒนานานกว่า 8 ปี มีชิ้นส่วนทั้งหมดรวมกว่า 1,521 ชิ้น และมีหัวใจสำคัญคือ Caliber 3655 ที่พัฒนาขึ้นภายในเมซง ทั้งหมดประกบร่างเกิดเป็นเรือนเวลาที่ทำให้คนในแวดวงนาฬิกาตื่นตาตื่นใจที่สุด (อ่านเรื่องราวเพิ่มเติมของนาฬิกาเรือนนี้ได้ ที่นี่)
- THE WAR OF THINNESS HERO
มหากาพย์สงครามความบางเกิดขึ้นและแข่งขันกันอย่างเข้มข้นในวงการนาฬิกา หลายแบรนด์ช่วงชิงความเป็นหนึ่งในการรังสรรค์เรือนเวลาบางเฉียบ สะท้อนความล้ำหน้าทางนวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิตนาฬิกากลไกพิเศษให้อยู่ภายใต้ความบางระดับเหรียญเพนนี ซึ่งปี 2025 นี้ Bvlgari กลับมาทวงบัลลังก์ความยิ่งใหญ่ในประเภทความบางของเรือนเวลากลไกตูร์บิญง ซึ่งแบรนด์นำเสนอ Octo Finissimo Ultra Tourbillon ที่มีความบางเพียง 1.85 มิลลิเมตร เอาชนะ Piaget Altiplano Ultimate Concept Tourbillon ที่มีความบาง 2 มิลลิเมตร และเป็นเจ้าสถิตินับจากเฉลิมฉลองครบรอบ 150 ปีของแบรนด์เมื่อปีก่อน นอกจากนี้บุลการียังครองบัลลงก์สถิติความบางในประเภทนาฬิกาข้อมือด้วย Octo Finissimo Ultra COSC ด้วยความบางเพียง 1.7 มิลลิเมตรเท่านั้น
- ASIAN STARS AT THE FAIR
ปฏิเสธเลยว่าเหล่าเซเลบริตี้จากฝั่งตะวันออกสามารถสร้างกระแสนิยมและดึงดูดความสนใจจากทั่วโลกได้อย่างมหาศาล กลยุทธ์การใช้ดารา นักแสดง ศิลปิน หรือเซเลบริตี้ก็คืบคลานเข้ามาสู่วงการนาฬิกาอย่างต่อเนื่องในช่วงหลัง ซึ่งใน Watches & Wonders ประจำปี 2025 ก็มีเหล่าคนดังจากฟากเอเชียเข้าร่วมกันแทบทุกวัน สำหรับ Jaeger-LeCoultre ที่มีตลาดใหญ่ ณ ประเทศเกาหลีและจีนก็เชิญ Kim Woo-bin และ Ni Ni มาเป็นแขกคนสำคัญร่วมเฉลิมฉลองความสำเร็จของแบรนด์ในปีนี้ ในขณะที่ Piaget ยังคงดำเนินรอยตามความน่าสนใจของแบรนด์อย่างต่อด้วย Gianna Jun หลังจากปีก่อนเคยพา อาโป-ณัฐวิญญ์ และ Lee Jun-ho มาร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 150 ปีมาแล้ว นอกจากนี้ยังมีทั้ง Eileen Gu นักกีฬาสาวระดับเซเลบริตี้ที่มาในฐานะแขกคนสำคัญของ IWC Schaffhausen, Hồ Ngọc Hà กับ Bvlgari และ Ok Taec-yeon กับ Panerai ที่ล้วนถ่ายทอดมนต์เสน่ห์ของแต่ละแบรนด์ได้อย่างชัดเจน
- HEART OF GOLD
เมื่อการพัฒนาเรือนเวลามุ่งหน้าสู่ความหรูหราและยกระดับความพิเศษ วัสดุที่ถูกเลือกใช้เป็นหลักคือทอง ไม่ว่าจะเป็นเยลโลว์โกลด์ โรสโกลด์ และไวต์โกลด์ ซึ่งในปีนี้มีเรือนเวลาน่าสนใจที่สามารถสะท้อนภาพความงดงามของทองได้อย่างเต็มรูปแบบ ไล่ตั้งแต่ Jaeger-LeCoultre Reverso Tribute Monoface Small Seconds นาฬิกาหน้าตาเรียบง่ายหรูหราแต่โดดเด่นด้วยสายแบบ Milanese ที่ชวนนึกถึงความงดงามของสายทองแบบโบราณ หรือจะเป็น Rolex 1908 เรือนเวลาสไตล์เดรสที่ปรับโฉมจากกการเปิดตัวครั้งก่อนด้วยการทำสายจากวัสดุทองเป็นครั้งแรก (ก่อนหน้านี้เป็นหนัง) ด้าน Piaget ก็หยิบยกความน่าทึ่งเมื่อปีก่อนกับเรือนเวลา Polo 79 มาตีความและนำเสนอด้วยวัสดุใหม่อย่างไวต์โกลด์ (เดิมเป็นเยลโลว์โกลด์) ปิดท้าย IWC Schaffhausen กับนาฬิกา Ingenieur Automatic 35 นาฬิกาเรือนทองทั้งเรือนไปยันสาย ทำจากวัสดุทอง 5N ทองชนิดพิเศษที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ ความอมตะเหนือกาลเวลาของนาฬิกาเรือนทองไม่เคยหายไปไหนจากแวดวงนาฬิกาไปเลยแม้แต่น้อย
- CERAMIC IS A THING
เมื่อพูดถึงวัสดุกันแล้ว ต้องบอกว่าปีนี้มีแต่ละแบรนด์มีการเลือกใช้วัสดุที่หลากหลายและสามารถปรับเข้ากับโมเดลที่มีอยู่หรือนนำเสนอโฉมใหม่ได้อย่างยอดเยี่ยม เซรามิกคือตัวเลือกอันดับต้นๆ และปรากฏเด่นชัดมากในปีนี้ ซึ่งมีทั้ง J12 BLEU ที่มีลักษณะของเซรามิกผิวด้านขัดพิเศษ แตกต่างไม่เหมือนใคร ในขณะที่ Rolex ก็เผยโฉม GMT-Master II เวอร์ชั่นเม็ดมะยมและหน้าปัดแสดงวันที่ฝั่งซ้าย แต่ที่น่าตื่นเต้นคือการเป็นนาฬิกาหน้าปัดเซรามิกเรือนเวลาในประวัติศาสตร์ของเมซง ด้าน Zenith จากเครือ LVMH ก็ไม่น้อยหน้า หยิบยกนาฬิการุ่นไอคอนิกทั้ง Chronomaster Sport, DEFY Skyline Chronograph และ Pilot Big Date Flyback มาสรรสร้างด้วยวัสดุเซรามิกเช่นกัน และยังมี Chopard Alpine Eagle 41 SL Cadence 8H ที่ทำจากวัสดุไทเทียมที่ผ่านการ ‘Ceramicized’ จนกลายเป็นวัสดุชนิดพิเศษที่ถูกนำมาใช้สำหรับการรังสรรค์เรือนเวลาสายสปอร์ตตัวชูโรงของเมซง และที่ขาดไม่ได้ IWC Schaffhausen Ingenieur Automatic 42 ที่มาพร้อมเรือนเซรามิกดำล้วนทั้งเรือน
- CELEBRATING THE ANNIVERSARIES
ในปี 2025 ถือว่าเป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองของแบรนด์นาฬิการะดับแถวหน้าของโลกโดยแท้จริง เพราะปีนี้ Vacheron Constantin ฉลองความยิ่งใหญ่ 270 ปีด้วยนาฬิกาสถิติโลก พร้อมนาฬิกาที่ประกอบสร้างกลไกร่วมกับงานฝีมืออันวิจิตร รวมถึงคอลเล็กชั่น Traditionnelle และ Patrimony ที่สะท้อนรากฐานด้านนาฬิกาและประวัติศาสตร์เก่าแก่ของแบรนด์เด่นชัด ด้าน Zenith ก็เฉลิมฉลองขวบปีอันยิ่งใหญ่ด้วยตัวเลข 160 และเรือนเวลา G.F.J. ที่อุทิศชื่อเพื่อเป็นเกียรติตามอักษรย่อของ Georges Favre-Jacot ผู้ก่อตั้งแบรนด์ นอกจากนี้ยังมีแบรนด์ Gerald Charles ที่ถือกำเนิดจากนักรังสรรค์นาฬิการะดับตำนานอย่าง Gérald Genta ที่ปีนี้แบรนด์มีอายุครบ 25 ปีเช่นเดียวกัน ซึ่งมีเรือนเวลา Maestro GC รุ่นพิเศษ หน้าปัดหินลาปิส มาพร้อมกลไก ‘Jumping Hour’ รวมถึงการประดับตกแต่งด้วยเทคนิคกีโยเช่เพิ่มมิติของนาฬิกาอย่างน่าประทับใจ ยังไม่หมดเพียงเท่านี้เพราะ Chanel ก็เฉลิมฉลองวาระครบรอบ 25 ปี นาฬิกา J12 ด้วยการเผยเรือนเวลา J12 BLEU สีน้ำเงินผิวด้านตั้งแต่นาฬิกากลไกเรียบง่ายไปจนถึงนาฬิกาชั้นสูง ในขณะที่ Hublot มี Big Bang ครบรอบ 20 ปี ซึ่งนำเสนอผ่านทั้งบูธ เซ็ตนาฬิกา Big Bang รวมถึง Big Bang ในเวอร์ชั่นพิเศษต่างๆ อย่างน่าตื่นเต้น
- WHEN DIALS COME TO LIFE
ท่ามกลางบรรยากาศความจริงจังและความมหัศจรรย์ในการรังสรรค์ทั้งงานกลไกและงานฝีมือ มีหลายแบรนด์ที่เลือกหยิบยกกลิ่นอายความมีชีวิตชีวามาแสดงบนหน้าปัด สร้างลูกเล่นที่กลายเป็นไวรัลบนโลกออนไลน์อย่างรวดเร็ว อย่างเช่น Hermès Arceau Rocabar de rire ที่หยิบยกลวดลายผ้าพันคอของ Dimitri Rybaltchenko มาสร้างชีวิตด้วยการออกแบบกลไกให้ม้าแกะสลักบนลวดลายงานไม้แลบลิ้นแบบติดทะเล้น เรียกรอยยิ้มให้ผู้สัมผัสจริงและผู้คนบนโลกออนไลน์ ในขณะเดียวกันเรือนเวลารุ่น Cut และ Arceau Le temps suspend ก็มีฟังก์ชั่นการหยุดเวลาเพื่อสะท้อนวิถีชีวิตที่สามารถดำเนินไปโดยไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องเวลา และเมื่อพูดถึงความมีชีวิตชีวาคงจะขาด Van Cleef & Arpels ไปไม่ได้ เพราะแบรนด์นำเสนอ Lady Arpels Bal des Amoureux Automate ที่สามารถกดกลไกเพื่อให้โมเดลชายหญิงจูบกันในยามค่ำคืนแสนโรแมนติก หรือจะเป็น Pont de Amoureux กับการถ่ายทอดมนต์เสน่ห์ของ French Kiss ด้วยการเดินทางของชายและหญิงผ่านหลักชั่วโมงและนาที มาพร้อมตัวเรือนตกแต่งด้วยเทคนิคซับซ้อนมากมาย รวมถึงสร้างความหรูหราด้วยเซ็ตติ้งเพชรทั้งเบเซลและสายอย่างระยิบระยับ อีกแบรนด์หนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ Chopard กับนาฬิกา Happy Sport ที่เชื่อว่าหลายคนคุ้นเคยกับเม็ดเพชรที่สามารถวิ่งไปบนหน้าปัดอย่างอิสระ ซึ่งถือเป็นนาฬิกาลูกเล่นคลาสสิกที่เป็นเอกลักษณ์ของเมซง และปีนี้ก็นำเสนอเพิ่มเติมด้วยสีและวัสดุใหม่
- VINTAGE IS CALLING
แม้งาน Watches & Wonders ในทุกๆ ปีจะมีจุดประสงค์เพื่อให้แบรนด์นำเสนอความโดดเด่นของการรังสรรค์นาฬิกาเรือนใหม่ แต่หลายแบรนด์ก็เลือกหยิบยกประวัติศาสตร์ความเก่าแก่ของแบรนด์ และเลือกสรรนาฬิกาเก่ามาตีความและนำเสนอใหม่ ในขณะเดียวกันบางแบรนด์ก็เลือกใช้แรงบันดาลใจและสรรสร้างผลงานที่ใหม่แกะกล่องที่สามารถชวนให้นึกถึงศิลปะในอดีตได้อย่างน่าประทับใจ โดย Cartier เป็นแบรนด์ที่ย้อนรากฐานผลงานเก่าพร้อมหยิบยกเรือนเวลาเก่าแก่มาสร้างใหม่อีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Tank à Guichets โมเดลเก่าแก่อายุร่วมศตวรรษ นอกจากนี้ยังมี Tank, Tressage, Panthère และอื่นๆ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากคลังเก่าในอดีตทั้งโลกของนาฬิกาและจิวเวลรี ด้าน Piaget แบรนด์ที่ขึ้นชื่อเรื่องการเลือกสรรแรงบันดาลใจในอดีตมาสร้างสรรค์ใหม่ ครั้งนี้กับ Sixties เรือนเวลาใหม่แกะกล่องรูปทรง 5 เหลี่ยม พาทุกคนย้อนกลับสู่ 60s อย่างเป็นประจักษ์ตามชื่อ นอกจากนี้ยังมีนาฬิกากลิ่นอายวินเทจน่าประทับใจมากมายชวนให้คอนาฬิกาย้อนยุคได้สัมผัสกับความเก่าในความใหม่
- PRECIOUS JEWELLERY ON THE WRIST
สุดยอดเรือนเวลากึ่งจิวเวลรีก็ได้รับความสนใจไม่แพ้นาฬิการูปทรงคลาสสิกทั่วไป โดยกำไลข้อมือถือเป็นจิวเวลรีชิ้นหลักที่ถูกนำมารังสรรค์เป็นนาฬิกาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นำโดย Panthère Bangle กับกำไลเสือแพนเธอร์ที่โค้งเว้างดงาม ประดับด้วยเพชร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวอร์ชั่นไวต์โกลด์ที่มาพร้อมการประดับเพชร โอนิกซ์ และประดับตาด้วยมรกต อีกฝั่งของเครือ Richemont อย่าง Van Cleef & Arpels ก็ยกทัพจิวเวลรีมาเสิร์ฟพร้อมไม่ว่าจะเป็น Cadenas นาฬิกาแบบซ่อนจากปี 1935 ที่ถูกรังสรรค์ใหม่เพิ่มความหรูหราด้วยกาประดับเพชรรอบตัวเรือนและตัดด้วยแซปไฟร์สีน้ำเงิน รวมถึงยังมี Ruban Mystérieux กำไลนาฬิกาหรูหราที่โดดเด่นด้วยเพชร DIF เจียระไนทรง oval-cut ซึ่งเพชรระดับหายากสุดทั้งเม็ดถูกเจียระไนอย่างประณีตเพื่อสรรสร้างหน้าปัดที่บริสุทธิ์และทรงคุณค่าที่สุด ด้าน Hermès นำเสนอ Maillon libre ที่หยิบยกแรงบันดาลใจจากจิวเวลรีชิ้นสำคัญของเมซงมาร้อยเรียงต่อกันและประกบเข้ากับหน้าปัดจนเป็นเรือนเวลาจิวเวลรีอันไร้ที่ติ ปิดท้ายด้วย Bvlgari Aeterna ที่เฉลิมฉลองปีงูด้วยรูปทรงงูแบบใหม่ เน้นความเฉียบคมและโค้งเว้า แต่ลดทอนบางเหลี่ยมมุมเพื่อสร้างความลื่นไหลโมเดิร์นมากขึ้น
- PRECIOUS TIME WITH ELEGANCE
นอกจากนี้นาฬิกาที่เป็นเหมือนร่างจำแลงของจิวเวลรีแล้ว ยังมีเรือนเวลาจำนวนไม่น้อยที่รักษารูปทรงและรายละเอียดของเรือนเวลาอย่างชัดเจน แต่เพิ่มความหรูหราด้วยเพชรหรืออัญมณีทรงคุณค่า ยกตัวอย่างเช่น Panthère de Cartier ที่ยกระดับเรือนเวลาคลาสสิกด้วยการประดับเซ็ตติ้งเพชรและแซปไฟร์ไล่ระดับหลากสีสัน Cartier Tressage กับการร้อยเรียงวัสดุล้ำค่าให้เกิดเป็นมิติความโค้งเว้าที่น่าทึ่ง Vacheron Constantin Traditionnelle Moon Phase และ Manual-Winding ที่โดดเด่นด้วยหน้าปัด mother-of-pearl ลวดลายโมทีฟ Maltese Cross ฉลองครบ 270 ปี สะท้อนแสงในมิติที่แตกต่างในแต่ละมุมมอง มาพร้อมดวงจันทร์และฟังก์ชั่นแสดงการสำรองพลังงาน ตัวเรือนประดับด้วยเพชรเพิ่มความหรูหราและสาย Mississippiensis สีชมพู ด้าน Chopard ที่ขึ้นชื่อเรื่องจิวเวลรีก็ไม่น้อยหน่าส่ง L’Heure du Diamant Moonphase เข้าประกวด กับความหรูหราของตัวเรือนประดับเพชรอัดแน่นและหน้าปัดที่เหมือนกลุ่มดาวระยิบระยับ และ L’Heure de Diamant Cushion กับนาฬิกาทรงหมอนหน้าปัดเขียวล้อมเพชรตระการตา นอกจากนี้ยังมี Patek Philippe และ Chanel ที่นำเสนอเรือนเวลาเพชรทั้ง Nautilus 5811/1460G Sweep Seconds ที่มีเพชรเจียระไน Baguette-cut และ Brilliant-cut รวมกว่า 1,480 เม็ด น้ำหนักกว่า 19.70 กะรัต และ J12 River Diamonds ที่มีเพชรเจียระไน Baguette-cut 680 เม็ด (สำหรับไซซ์ 38 มิลลิเมตร) และ เพชรเจียระไน Brilliant-cut 1,661 เม็ด (สำหรับไซซ์ 33 มิลลิเมตร) ตามลำดับ และยังมีแบรนด์อย่าง Jaeger-LeCoultre ที่ส่ง Reverso Tribute Precious Flowers และ Precious Colours เข้าประกวดด้วยเช่นกัน
- TIME ON THE TABLE
นอกเสียจากนาฬิกาข้อมือในงาน Watches & Wonders ประจำปี 2025 ยังมีสุดยอดงานรังสรรค์นาฬิกาตั้งโต๊ะรดับยอดพระกาฬมาจัดแสดงไว้อย่างครบถ้วน เริ่มตั้งแต่ Panerai ที่สรรสร้าง Jupiterium เพื่อสดุดีแด่ Galileo Galilei บ่งบอกการโคจรของดวงดาวและเวลาที่แม่นยำ Van Cleef & Arpels มาพร้อม Naissance de l’Amour automaton ที่ต่อยอดจากผลงานเรือนเวลาตั้งโต๊ะสุดยอดแห่งโลกศิลปะและนาฬิกามาจากปี 2022 เป็นต้นมา และ Planétarium กับวิถีโคจรของดวงดาวที่มีชีวิตราวกับเรากำลังท่องจักรวาล โดยครั้งนี้แตกต่างจากเดิมตรงฐานไม้ที่ตกแต่งอย่างละเอียดประณีต ปิดท้ายด้วย Patek Philippe Complicated Desk Clock ที่ได้รับแรงบันดาลใจและองค์ประกอบด้านงานออกแบบจากปี 1923 มีกลไกสำรองพลังงานถึง 31 วัน และมีระดับความแม่นยำที่ ± 1 วินาทีต่อวันเท่านั้น
- NECKLACE TIME!
นอกเสียจากกำไลข้อมือ นาฬิกาประดับเพชร หรือแม้แต่นาฬิกาตั้งโต๊ะ อีกหนึ่งความน่าประทับใจจากแบรนด์ต่างๆ คือการรังสรรค์นาฬิกาจิวเวลรีสำหรับผู้หญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรูปแบบของสร้อยคอ Piaget มาพร้อม Sixties Sautoir ที่ใช้รูปทรงของนาฬิกาโฉมใหม่มาปรับเข้ากับการร้อยเรียงสายจนเกิดเป็นสร้อยคอบอกเวลาที่สามารถใช้งานจริง หรือจะเป็น Chanel ที่นำเสนอสร้อยคอบอกเวลาครบถ้วนหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ความเรียบหรูแบบ Mademoiselle และ Première ยังมีแคปซูลคอลเล็กชั่น Blush ที่นำเสนอสร้อยคอนาฬิกาในรูปแบบของลิปสติกและไอเท็มบิวตี้ ยังมี Necklace Watch Coco Black Jacket ที่ใช้โมเดล Coco Chanel แสนน่ารักมาประเป็นสร้อยคอ โดยมากไปกว่านั้น Hermès ก็ยังมีเรือนเวลา Maillon libre ที่ปรับรูปแบบเป็นได้ทั้งเข็มกลัดและสร้อยคอ (สวมเข้ากับสายหนัง) ก็มีมิติความน่าสนใจของเรือนเวลาที่แตกต่างแต่คงความหรูหราไว้เช่นเดิม
- ART & COLOUR ON DIALS
หากจะพูดถึงอาณาจักรนาฬิกาใน Watches & Wonders คงแบ่งหมวดไว้ได้มากมายหลายรูปแบบดั่งเช่นที่ผู้เขียนสาธยายไปมากมายก่อนหน้านี้ แต่องค์ประกอบที่ทำให้ทุกคนต้องสะดุดตาทุกครั้งคืองานศิลปะและสีสันบนหน้าปัด ซึ่งปี 2025 แบรนด์น้อยใหญ่ต่างเลือกนำเสนอเรือนเวลาภายพร้อมอัดแน่นมิติเรื่องสีสันและลวดลายเข้าไปอย่างชัดเจน ยกตัวอย่าง Jaeger-LeCoultre Reverso Tribute Enamel ‘Shahnameh’ ที่หยิบยกเรื่องราวจากหนังสือเปอร์เซียเก่าแก่มาบรรยายในรูปแบบศิลปะบนเรือนเวลาถึง 4 รูปแบบ สะท้อนความงดงามของศิลปะการเพนต์ขนาดจิ๋วและงานอีนาเมล Rolex มาพร้อม Oyster Perpetual หลากสีสันตั้งแต่สีลาเวนเดอร์ สีพิสตาชิโอ และสีเบจ รวมถึงมี GMT-Master II หน้าปัด Tiger’s Iron ที่โดดเด่นด้วยสีโทนร้อนไล่ระดับแร่ธาตุ หรือแม้แต่ Cosmograph Daytona ที่มาพร้อมหน้าเทอร์คอยซ์สร้างความตื่นเต้นให้แฟนๆ ทั่วโลก ในขณะเดียว Piaget ก็เสริมพลังความน่าตื่นเต้นด้วยเรือนเวลา Andy Warhol หน้าปัด Tiger’s Eyes, Chanel กับ BOY·FRIEND “COCO ART” กับลักษณะงานหน้าปัดลวดลายการ์ตูนย้อนยุค และ H.Moser & Cie. กับนาฬิกา Endeavor หลากหลายกลไกที่มาพร้อมหน้าปัดสีป๊อปสะดุดตา
- SIMPLE BUT CLASSIC
ความหวือหวาอาจเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตสำหรับโลกนาฬิกายุคปัจจุบัน แต่ความมินิมัลเรียบง่ายก็เป็นสิ่งอมตะฆ่าไม่ตาย ในปีนี้หลายแบรนด์เลือกยึดถือความคลาสสิกและนำเสนอความเรียบหรูแต่เปี่ยมด้วยมนต์เสน่ห์และกลไกอันน่าทึ่ง ยกตัวอย่างเช่น Cartier Tank LC หรือ Santos-Dumont ไซซ์ใหม่ที่รักษามาตรฐานความวินเทจ เก็บรักษาองค์ประกอบที่ทุกคนหลงรักไว้ครบถ้วน ซึ่งตรงกับแนวทางของ Parmigiani Fluerier เช่นกัน ที่แม้จะไม่ได้มีประวัติศาสตร์ยาวนานเทียบเท่า แต่แบรนด์นำเสนอเรือนเวลา Tonda PF ในเวอร์ชั่นต่างๆ และ Toric Perpetual Calendar ที่แม้จะมีกลไกซ่อนอยู่อย่างครบครัน แต่หน้าปัดและการเลือกจับคู่สีสายเข้ากับตัวเรือนสะท้อนภาพความมินิมัลเรียบหรูได้อย่างสมบูรณ์แบบ ในขณะที่ IWC Schaffhausen ก็มาพร้อมเรือนเวลา Ingenieur ทั้งไซซ์ 35, 40 และ 42 ทั้งวัสดุสเตนเลสสตีล ทอง 5N และเซรามิกสีดำ ปิดท้ายด้วย Grand Seiko รหัส SLGB001 และ SLGB003 (ตัวเรือนแพลทินัมและตัวเรือนสเตนเลสตีลตามลำดับ) กับนาฬิกากลไก Spring Drive U.F.A. ที่ดูเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยพลังแห่งนวัตกรรม เพราะเรือนเวลานี้สร้างระดับความแม่นยำขั้นสถิติโลก ด้วยตัวเลข ± 20 วินาทีต่อปีเท่านั้น
- SIZE FOR LADIES
อีกหนึ่งความน่าสนใจที่พลาดไม่ได้สำหรับงาน Watches & Wonders ครั้งนี้คือการปรับหรือออกแบบไซซ์สำหรับผู้หญิงหรือเหมาะแก่การสวมใส่ทุกเพศมากขึ้น เห็นได้ชัดเจนจากเมซงระดับแถวหน้าอย่าง Patek Philippe ที่เผยเรือนเวลา Nautilus ไซซ์เล็กพร้อมเบเซลประดับเพชรสำหรับผู้หญิง รวมถึงการปรับไซซ์หน้าปัด Cubitus สู่ตัวเลข 40 มิลลิเมตรที่เปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถสวมใส่ได้อย่างขึ้นข้อ ด้าน Rolex ก็ไม่น้อยหน้าหยิบยก Oyster Perpetual ไซซ์ 28 มิลลิเมตรสีใหม่มานำเสนอเช่นกัน รวมถึง Cartier ก็เลือกรังสรรค์ Panthère de Cartier ไซซ์มินิเหมาะสำหรับผู้หญิงเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งการปรับหรือออกแบบไซซ์ใหม่สำหรับเรือนเวลาเช่นนี้ สะท้อนภาพการพัฒนาและเปิดกว้างสำหรับตลาดยุคใหม่ ที่ไม่ได้ขีดจำกัดแค่สำหรับผู้ชายหรือบรรทัดฐานเรื่องขนาดแบบเดิมๆ อีกต่อไป
- MORE THAN SPORT
สุดยอดเรือนเวลาสายสปอร์ตที่สาวกนาฬิกาเฟ้นหาในทุกๆ ปี กลายเป็นเป้าหมายหลักสำหรับคอนาฬิกาพันธุ์แท้ เพราะนาฬิกาสไตล์สปอร์ตนั้นมีความต้องการในตลาดสูงมาก แต่กระนั้นความสปอร์ตไม่ได้ถูกออกมาแบบมาให้เรียบง่ายหรือสมบุกสมบันแบบตรงไปตรงมาเสมอไป เพราะในปีนี้มีความซับซ้อนแอบซ่อนอยู่ในเรือนเวลาจากหลายแบรนด์ อย่าง TAG Heuer ที่ขึ้นชื่ออย่างมากเรื่องนาฬิกาสปอร์ตก็เฉลิมฉลองการกลับมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ F1 ด้วยการเผยเรือนเวลา Monaco Split-Seconds Chronograph | F1® ลิมิเต็ดเอดิชั่น ผลิตเพียง 10 เรือน โดดเด่นด้วยกลไกการจับเวลาแบบแยก ซึ่งเป็นหลักกลไกสำคัญของวงการมอเตอร์สปอร์ต นอกจากนี้ยังมี Formula 1 Solargraph นาฬิกาที่ออกแบบตามคาแร็กเตอร์ของสนามดังทั่วโลก ซึ่งมีกำหนดปล่อยไล่เรียงสีตามสนามแข่งขันแต่ละช่วงเวลาตลอดปี ด้าน Panerai ก็เผยโฉม Luminor Perpetual Calendar GMT เรือนเวลาดำน้ำที่อัดแน่นด้วยปฏิทินแบบครบวงจร แอบซ่อนภายใต้หลักบอกเวลาสากล พร้อมประกายแสงยามมืดมิด และเมื่อพูดถึงเรื่องดำน้ำจะขาด Tudor Pelagos Ultra ไปไม่ได้ กับวิธีการออกแบบสายให้สามารถปรับระดับอย่างรวดเร็วเพื่อรองรับสถานการณ์การดำน้ำและขยับเขยื้อนร่างกาย มาพร้อมวัสดุไทเทเนียมที่จะทำให้รู้สึกเบาสบายเมื่อสวมใส่ ปิดท้ายด้วย Cosmograph Daytona หน้าปัดสีเทอร์คอยซ์อันโดดเด่น จับคู่เข้ากับเบเซลสีดำและตัวเรือนเยลโลว์โกลด์ ผสมผสานความสปอร์ตและหรูหราได้อย่างลงตัว
- HIGH COMPLICATIONS
และแน่นอนว่าไฮไลต์ของวงการนาฬิกาทุกปีคงหนีไม่พ้นนาฬิกากลไกซับซ้อน ซึ่งแบรนด์ชั้นนำต่างขับความโดดเด่นออกมาอย่างชัดเจนที่สุด Patek Philippe นำเสนอ Quadruple Complication ที่ผสมผสานทั้งนวัตกรรมกลไก Perpetual Calendar และ Minute Repeater เข้าไว้ด้วยกัน เพียบพร้อมด้วยกลไกยิบย่อยครบครัน และ Retrograde Perpetual Calendar ที่เปิดฉากปฏิทินด้วยระบบความซับซ้อนและ ‘Jumping’ แบบเฉพาะเจาะจง ส่วน Vacheron Constantin นอกจากนาฬิกาสถิติโลกแล้ว ยังมี Traditionnelle Openface และ Perpetual Calendar ที่ทั้งงดงามและน่าทึ่ง ด้าน Jaeger-LeCoultre ก็เผยโฉม Reverso Tribute Minute Repeater ที่พร้อมส่งเสียงดังไพเราะเมื่อตรวจเช็คเวลาด้วยกลไกแบบพิเศษ และแอบซ่อนอยู่หลังหน้าปัดกีโยเช่สุดหรูหรา สำหรับ Piaget ก็หยิบยกนาฬิกาโมเดล Polo เติมแต่งกลไก Flying Tourbillon และ Roger Dubuis ก็นำเสนอ Excalibur Bi-Retrograde Calendar ถ่ายทอดมนต์เสน่ห์ความพิเศษแบบ 2 เท่าภายในเรือนเวลาเรือนเดียว ความเพียบพร้อบที่จะขมวดปมสไตล์สปอร์ตในครั้งนี้ได้ดีที่สุดคือ Ulysse Nardin Diver [AIR] สุดยอดเรือนเวลาดำน้ำวัสดุรีไซเคิลที่มีน้ำหนักรวมสายเพียง 52 กรัม ซึ่งขึ้นแท่นนาฬิกาดำน้ำกลไก Mechanical ที่เบาที่สุดในโลก
- REDEFINED SHAPE
การสร้างสรรค์รูปทรงของเรือนเวลาสามารถดึงดูดความสนใจของใครหลายคนได้อย่างต่อเนื่อง วิธีการเล่นกับรูปทรงทำให้แบรนด์อย่าง Rolex ได้รับความสนใจอย่างมากกับโมเดลใหม่อย่าง Land-Dweller ที่แปลงโฉมภาพจำนาฬิกาของแบรนด์ไปอีกรูปแบบหนึ่ง ในขณะที่ Patek Philippe แม้ไม่ได้รังสรรค์เรือนเวลาโฉมใหม่ แต่ก็เลือกรุ่น Twenty~4 กลับมานำเสนอในรูปแบบนาฬิกาหน้าปัดกลมอีกครั้ง พร้อมกลไก Perpetual Calendar และหน้าปัดแบบ “shantung finish” และแน่นอนว่าถ้าพูดถึงรูปทรงจะต้องกล่าวถึง Hermès Cut ที่ปรับความหนาและกลไกให้ซับซ้อนกับ les temps suspendu นอกจากนี้ยังมี Piaget Sixties กับรูปทรง 5 เหลี่ยม และ Gerald Charles Maestro GC ที่ยังคงรักษามาตรฐานความโดดเด่นของรูปทรงเสมอมา
- UNEXPECTED RISING STARS
Nomos Glashütte อาจไม่ใช่แบรนด์ใหม่ในแวดวงนาฬิกา แต่เมื่อเปรียบเทียบกับยักษ์ใหญ่ของวงการถือว่าแบรนด์นี้เป็นแบรนด์พระรองในงาน Watches & Wonders 2025 แต่เมื่องานเริ่มไปเพียงไม่ถึงวันและล่วงเลยไปหลายวัน หลายคนต่างพูดถึงนาฬิกาเรือนพิเศษที่กลายเป็นไอคอนประจำงานปีนี้ร่วมกับนาฬิกาสถิติโลกและนาฬิกาแบรนด์ยอดฮิตได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งเรือนเวลาดังกล่าวคือ Club Sport Neomatik Worldtimer Limited Edition ที่โดดเด่นด้วยหน้าปัดหลากสีที่แบรนด์เลือกจับคู่สีผสมผสานภายในตัวเรือนได้อย่างงดงาม นอกจากนี้กลไกการบอกเวลาหลายไทม์โซนทั่วโลกที่เข้าใจง่าย ทำให้ทุกคนยกยอว่าโนมอสคือสุดยอดดาวส่องประกายประจำงานนี้แบบที่ไม่คาดคิดก่อนงานเริ่ม
บทสรุปของ Watches & Wonders ประจำปี 2025 เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์และนาฬิกาชั้นยอดสมกับชื่องานเช่นเดิม เพิ่มเติมด้วยแนวทางการรังสรรค์เรือนเวลาอย่างแปลกใหม่ และมีแนวทางการแข่งขันที่เข้มข้นในหลากหลายมิติ ทั้งมิติเชิงศิลป์ ทั้งนวัตกรรมด้านวัสดุ กลไก เรื่อยไปจนถึงการไล่ล่าสถิติที่โลก คอยติดตามรายละเอียดและความน่าสนใจแบบเจาะลึกเพิ่มเติมได้ตลอดทั้งปีกับแฮชแท็ก #VogueWatch ของโว้กประเทศไทย
WATCH