Vogue Thailand

WATCHES & JEWELLERY

VOGUE SCOOP | เจาะลึกทุกสาขารางวัลนาฬิกาแห่งปีกับ GPHG 2025 ที่คอนาฬิกาไม่ควรพลาด!

GPHG 2025 กับการประกาศรางวัลสุดยอดรางวัลนาฬิกาแห่งปีในสาขาต่างๆ ที่สะท้อนภาพความยอดเยี่ยมและการพัฒนาแข่งขันอย่างข้มข้นในอุตสาหกรรมการรังสรรค์เรือนเวลา

โดย Nattanam Waiyahong
19 พฤศจิกายน 2568

     เมื่อถึงช่วงปลายปีการสรุปรวบความยอดเยี่ยมในแต่ละแขนงก็เกิดขึ้น(อาจต่อเนื่องไปถึงต้นไปถัดไป) สำหรับวงการนาฬิกา ช่วงเวลาที่สาวกนาฬิกาทั่วโลกรอคอยคือการประกาศผลรางวัลนาฬิกายอดเยี่ยมในสาขาต่างๆ และไฮไลต์ประจำปีคงหนีไม่พ้นรางวัลนาฬิกาแห่งปี แต่ละแบรนด์ขับเคี่ยวกันอย่างเข้มข้นในการส่งเรือนเวลาเข้าประกวด Le Grand Prix d’Horlogerie de Genève หรือ GPHG ที่เชื่อว่าคอนาฬิกาติดตามกันอย่างใกล้ชิดทุกปี และในปี 2025 นี้รางวัลอันยิ่งใหญ่ก็ประกาศมาเป็นที่เรียบร้อย รางวัลสาขาต่างๆ จะตกเป็นของนาฬิกาเรือนไหน จากแบรนด์อะไร ติดตามบทสรุปแบบเต็มๆ กับ #VOGUESCOOP ได้ที่ด้านล่างนี้เลย

Article

“Aiguille d’Or” Grand Prix

เริ่มกันที่ไฮไลต์สำคัญประจำปีกับรางวัล “Aiguille d’Or” Grand Prix หรือถ้าจะพูดอย่างเรียบง่ายแต่ทรงพลังที่สุดคือ “นาฬิกาแห่งปี” ในปีนี้รางวัลตกเป็นของแบรนด์ Breguet กับเรือนเวลา Classique Souscription 2025 ที่รังสรรค์ขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 250 ปีของเมซง นาฬิกาเรือนนี้อาจไม่ได้หวือหวาหรือซับซ้อนจนน่าทึ่ง แต่เสน่ห์ที่ไม่สามารถละสายตาได้คือความเรียบง่ายของนาฬิกาเข็มเดียวที่บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ของเมซงได้อย่างล้ำลึก สรรสร้างความเรียบง่ายที่พุ่งทะยานสู่อนาคต ในขณะเดียวกันก็ถ่ายทอดอัตลักษณ์ของเบรเกต์อย่างครบถ้วน ตั้งแต่ตัวเลขและเข็มบอกเวลา ตัวเรือนทองเบรเกต์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ เรื่อยไปจนถึงงานสลักกีโยเช่สไตล์ใหม่ “Quai de l’Horloge” ทั้งหมดหลอมรวมกันเป็นนาฬิกาหน้าปัด 40 มิลลิเมตร ที่เรียบหรูและเปี่ยมไปด้วยประวัติศาสตร์ ราวกับกำลังสัมผัสกับนาฬิกาพกดั้งเดิมของเมซงที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานเกิน 2 ศตวรรษ

Article

Ladies’

ไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้เช่นกันคือนาฬิกาสำหรับผู้หญิงที่อุตสาหกรรมนาฬิกากำลังเติบโตบนเส้นทางสายนี้ด้วยเช่นกัน ความสนใจเรื่องนาฬิกาผู้หญิงที่เพิ่มมากขึ้นนำมาสู่การแข่งขันที่เข้มข้นอย่างมากในปี 2025 โดยนาฬิกาเจ้าของรางวัลนี้คือ Gérald Genta Gentissima Oursin Fire Opal นาฬิกาสีเพลิงสง่างามด้วยลักษณะของความงดงามของอัญมณีและแนวทางความสร้างสรรค์ในการออกแบบ ตัวเรือนขนาด 36.5 มิลลิเมตร ประดับด้วยโอปอลสีเพลิง 137 เม็ด ขับส่งพลังงานอันเหลือล้น เช่นเดียวกับการออกแบบหน้าปัดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ และกลไกภายในอย่าง GG-005 ที่พัฒนาขึ้นในเมซง ถือเป็นบทใหม่ของนาฬิกาคอลเล็กชั่น Gentissima ที่ผลักดันขีดจำกัดในการสรรสร้างนาฬิกาสำหรับผู้หญิงขึ้นอีกระดับ

Article

Ladies’ Complication

ถัดจากนาฬิกาสำหรับผู้หญิง ก้าวสู่นาฬิกาสำหรับผู้หญิงที่มีเกณฑ์การตัดสินนับรวมกลไกอันสลับซับซ้อนขึ้นอีกขั้น โดย Chopard ส่งนาฬิกา Imperiale Four Seasons เข้าประกวดและคว้ารางวัลไปได้อย่างสมเกียรติ ลักษณะกลไกบนหน้าปัดที่หมุนผลัดเปลี่ยนตามฤดูกาลไปตลอดทั้งปี สร้างชีวิตด้วยผลงานการลงสีลงบนงานมาร์เคทรีจากวัสดุ mother-of-pearl นำมาเสนอรูปแบบของกลไกที่ทั้งสง่างาม ซับซ้อน และยังเผยมิติของข้อมูลบนเรือนเวลาที่แตกต่าง นอกจากนี้ยังมีงานฝีมือรูปทรงดอกบัวที่ทำจากวัสดุไวต์โกลด์  และมีการประดับเพชรทั้งวงแหวน เบเซล และเม็ดมะยม เสริมด้วยกลไก L.U.C 96.31-L ที่มีโมดูลสำหรับการหมุนแผ่นดิสก์ฤดูกาล สำรองพลังงานมากถึง 65 ชั่วโมง ด้านความสวยงามยังเปิดโอกาสให้ผู้สวมใส่เปลี่ยนสายได้ตามพาเลตต์สีของฤดูกาลอีกด้วย นับเป็นสุดยอดเรือนเวลาที่ทะยานเข้าสู่ยอดพีระมิดได้อย่างสมเกียรติ

Article

Time Only

สาขารางวัลนี้ภาพสะท้อนของการพัฒนาเรือนเวลาภายใต้แนวทางความคลาสสิกตามธรรมเนียมนิยม รากฐานความเรียบง่ายกับกฎเกณฑ์ที่ระบุถึงรูปแบบของเรือนเวลาที่มี 2 หรือ 3 เข็ม จำกัดฟังก์ชั่นเพียงการบอกเวลาหลักชั่วโมง นาที และวินาทีเท่านั้น ซึ่งในปีนี้ Daniel Roth Extra Plat Rose Gold คว้ารางวัลนี้ไปได้สำเร็จ รายละเอียดโดดเด่นคือรูปทรงตัวเรือนที่มีเอกลักษณ์ มาพร้อมพื้นหลังหน้าปัดกีโยเช่ลายพินสไตรป์สีเทาบนวัสดุไวต์โกลด์ เพิ่มเติมด้วยวงหน้าปัดโรสโกลด์ 5N เช่นเดียวกับตัวเรือน มากไปกว่านั้นยังเผยเคสด้านหลังให้เห็นกลไก DR002 ที่พัฒนาขึ้นเองภายในเมซง นาฬิกาเรือนนี้จึงเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยเสน่ห์อันเหลือล้น ย้ำถึงแนวทางการพัฒนาเรือนเวลาสุดคลาสสิกที่แวดล้อมด้วยนวัตกรรมและความโมเดิร์นได้อย่างยอดเยี่ยม

Article

Men’s

หลังจากรางวัลนาฬิกาสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะถูกกล่าวถึง จะไม่กล่าวถึงนาฬิกาสำหรับผู้ชายคงเป็นไปไม่ได้ โดยรางวัลนี้มีกฎเกณฑ์คล้ายกับนาฬิกาผู้หญิง แตกต่างกันที่กลิ่นอายความแมสคิวลีนที่ถูกพิจารณาเป็นหลักสำคัญ Urban Jürgensen นาฬิกาสัญชาติเดนมาร์กที่มีอายุมากกว่า 250 ปีทะยานคว้ารางวัลนี้ไปได้สำเร็จกับเรือนเวลา UJ-02: Double Wheel Natural Escapement นาฬิกาเรือนเดียวกับที่ Timothée Chalamet สวมขึ้นปกโว้กอเมริกาประจำเดือนธันวาคม 2025 ผลงานส่งท้าย Anna Wintour ซึ่งนาฬิกาเรือนนี้โดดเด่นด้วยการวางองค์ประกอบที่เด่นสะดุดตา มีวงแหวนหลักเวลาชั่วโมงและนาที ทับซ้อนกับหน้าปัดย่อยแบบ Small Seconds นอกจากนี้ยังมีมาตรวัดการสำรองพลังงานบริเวณตำแหน่งใต้เลข 12 นาฬิกา (ที่ถูกแทนที่ด้วยเลข 0) แต่ไฮไลต์สำคัญที่ขาดไม่ได้แต่มองไม่เห็นคือกลไก ‘escapement wheels’ ที่ทำหน้าที่สร้างจังหวะและพลังงานเพื่อความแม่นยำระดับสูง ด้านความสวยงามหน้าปัดสอดแทรกเทคนิคกีโยเช่สอดรับกับโทนสีน้ำเงินเข้ากับตัวเรือนเรดโกลด์ และสายหนัง ให้ความรู้สึกคลาสสิกหรูหรา ในขณะเดียวกันก็มอบความซับซ้อนและรายละเอียดแบบสมดุลพอดี

Article

Men’s Complication

ต่อเนื่องอีกรางวัลสำหรับนาฬิกาสไตล์แมสคิวลีน โดยรางวัลนี้เพิ่มความสลับซับซ้อนด้านกลไกขึ้นอีกระดับ โดยตัดสินใจความพิเศษในการนำเสนอกลไกอันน่าทึ่งประกอบกับความสร้างสรรค์ Bovet 1822 ตอบโจทย์นี้ได้สำเร็จกับนาฬิกา Récital 30 สุดยอดนาฬิกา World Time แห่งยุคที่สามารถปรับเปลี่ยนโซนเวลาได้อย่างราบรื่น เพิ่มเติมความล้ำหน้าด้านนวัตกรรมด้วยการปรับเปลี่ยนเวลาสำหรับช่วงฤดูร้อนและฤดูหนาว ช่วงเวลาที่ระบุชื่อเมืองจะถูกผันเปลี่ยนไปตามเงื่อนไขของโซนเวลาและฤดูกาลตามคำสั่งของผู้สวมใส่ นอกจากนี้ยังมีเวลา ณ เมืองนิวเดลี ประเทศอินเดีย กับเงื่อนไขโซนเวลาหลักครึ่งชั่วโมง โดยนาฬิกาเรือนนี้มีหลักเวลาเฉพาะสำหรับแสดงผลโดยเฉพาะ ทั้งหมดใช้เวลาศึกษาพัฒนานานกว่า 6 ปี และตอนนี้ก็เปิดโอกาสให้นักสะสมสามารถสั่งทำพิเศษ ออกแบบเมืองตามโซนเวลาได้อย่างอิสระ เพิ่มความเหนือชั้นขึ้นไปอีกขั้น

Article

Iconic

เมื่อพูดถึงอุตสาหกรรมนาฬิกา สิ่งที่ต้องเน้นย้ำอยู่เสมอคือเรือนเวลาไอคอนิกที่ก้าวผ่านเวลาและยังคงได้รับความนิยมอยู่จวบจนปัจจุบัน หลักเกณฑ์ของ GPHG ระบุว่านาฬิกาที่จะเข้าชิงรางวัลสาขานี้จะต้องมีอายุมากกว่า 20 ปีขึ้น Royal Oak จาก Audemars Piguet จึงทะยานคว้ารางวัลนี้ไปพร้อมกับ Royal Oak Perpetual Calendar โฉมใหม่ วัสดุแซนด์โกลด์ ผลงานการเฉลิมฉลองครบรอบ 150 ปีของเมซง ภายในตัวเรือนบรรจุกลไก 7138 ที่พัฒนาเพื่อรองรับฟังก์ชั่นปฏิทินถาวร และเนรมิตวิถีของการตั้งเวลาและฟังก์ชั่นครบทุกส่วนด้วยเม็ดมะยมเพียงชิ้นเดียว หน้าปัดยังโดดเด่นด้วยลวดลาย Grande Tapisserie เพียบพร้อมด้วยฟังก์ชั่นปฏิทินแบบละเอียดยิบ ตั้งแต่หลักเวลาทั่วไป วันที่ วัน สัปดาห์ (วันในสัปดาห์และจำนวนสัปดาห์แต่ละปี) เดือน ปีอธิกสุรทิน ไปจนถึงดวงดารา และด้วยรูปลักษณ์อันเป็นเอกลักษณ์จนเป็นไอคอนแห่งวงการ วันนี้ Royal Oak เถลิงความยิ่งใหญ่เชื้อเชิญนักสะสมอย่างต่อเนื่องกับรางวัลที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดของ GPHG ในทุกปี

Article

Tourbillon

ตูร์บิญงสุดยอดกลไกแห่งโลกนาฬิกา และเมื่อมีการพัฒนาก้าวหน้าของแบรนด์นาฬิกาชั้นนำ รางวัลสาขานี้จึงเปรียบดั่งสัญลักษณ์การชี้วัดความยอดเยี่ยมเรื่องกลไกตามกรอบธรรมเนียมนิยมเช่นเดียวกัน ซึ่งในปีนี้ Bvlgari ทะยานคว้ารางวัลจากผลงาน Octo Finissimo Ultra Tourbillon สุดยอดเรือนเวลาตูร์บิญงบางเฉียบที่ทุบสถิติโลกด้วยความหนาเพียง 1.85 มิลลิเมตรเท่านั้น นวัตกรรมล้ำสมัยภายใต้การกำกับดูแลอันเฉียบแหลมของ Fabrizio Buonomassa สามารถการันตีความยิ่งใหญ่ได้เหนือคำบรรยาย เพิ่มสถิติให้ตระกูล Octo Finissimo ที่หากเปรียบเปรยว่าเป็นนาฬิกานักล่าสถิติก็ไม่ผิดนัก เพราะนาฬิกาขนาดหน้าปัด 40 มิลลิเมตร ทำจากวัสดุไทเทเนียมขัดด้านเรือนนี้ถือเป็นนาฬิกาลำดับที่ 10 ในตระกูล Octo Finissimo ที่ทำลายสถิติโลกได้สำเร็จ

Article

Mechanical Exception

เมื่อการพัฒนานาฬิกาไม่ได้หยุดอยู่แค่กลไกดั้งเดิมที่ถูกต่อยอด แต่เป็นการคิดค้นสิ่งใหม่ๆ เพื่อบรรจุลงในนวัตกรรมบนข้อมือ รางวัลสาขานี้จึงมีหลักเกณฑ์สำคัญเกี่ยวกับนวัตกรรมเป็นสำคัญ รวมถึงความสร้างสรรค์ในการแสดงผล เรื่อยไปจนถึงออโตเมตอน หรือจะเป็นฟังก์ชั่นเรื่องเสียงที่ถูกพิจารณาด้วยเช่นกัน ปี 2025 รางวัลนี้ตกเป็นของ Greubel Forsey กับเรือนเวลา Nano Foudroyante สร้างความประหลาดใจได้ไม่น้อย เพราะรูปแบบของนาฬิกาสีขาวนั้นแสนจะเรียบง่าย มีฟังก์ชั่น 3 เข็มเบื้องต้น มาพร้อมวงแหวนสีฟ้าสวยงามสไตล์มินิมัล แต่ภายในเก็บซ่อนสุดยอดนวัตกรรมที่หลากหลายไว้อย่างน่าทึ่ง ภายในตัวเรือนไวต์โกลด์มีหัวใจสำคัญคือหลักการ ‘nanomechanics’ ที่ควบคุมพลังงานสร้างมาตรฐานความแม่นยำระดับสูง มาพร้อมกลไกตูร์บิญง กลไกจับเวลาแบบ ‘Flyback’ รวมถึงหลักพิสูจน์ความเที่ยงตรงกับฟังก์ชั่น 1/6 วินาที ทั้งหมดบรรจุอยู่ในตัวเรือนไวต์โกลด์หน้าปัดสีขาวรูปลักษณ์เรียบง่าย ซึ่งภายในทรงพลังสมกับเป็นการรังสรรค์นวัตกรรมขั้นสุดยอดประจำปีนี้

Article

Chronograph

ถัดจากสุดยอดนวัตกรรมต่อเนื่องด้วยอีกหนึ่งกลไกสำคัญของแวดวงนาฬิกาอย่างกลไกการจับเวลา ซึ่งปีนี้ต้องบอกว่าขับเคี่ยวกันอย่างเข้มข้น เพราะมีนาฬิกาสายสปอร์ตจำนวนมากที่อยู่ในมาตรฐานความยอดเยี่ยมระดับสูง การห้ำหั่นกันของนาฬิกาจับเวลาจึงเป็นอีกสนามที่คอนาฬิกาเฝ้ารอ และรางวัลนี้ก็ตกเป็นของ Angelus จากผลงาน Chronographe Télémètre Yellow Gold โดยเมซงแห่งนี้เชี่ยวชาญเรื่องการรังสรรค์นาฬิกาจับเวลาคุณภาพสูง ไฮไลต์สำคัญคือกลไก ‘telemeter’ มาตรวัดที่เชื่อมโยงกับเข็มหลักวินาที ใช้สำหรับการวัดระยะทางเมื่อเห็นแสงและได้ยินเสียง (กดเริ่มและหยุด) อ่านค่าในหน่วยกิโลเมตร นาฬิกาเรือนนี้ถือเป็นนาฬิกาขนาดเล็กที่สุดของแบรนด์ในยุคสมัยใหม่ (37 มิลลิเมตร) อัดแน่นด้วยกลไก A5000 calibre ที่พัฒนาขึ้นเองสำหรับนาฬิกาจับเวลาชั้นสูงโดยเฉพาะ ตัวเรือนทำจากวัสดุเยลโลว์โกลด์ หน้าปัดทำจากนิกเกิลขาว ประดับด้วยหลักตัวเลขและเข็มทอง 3N นำเสนอความงดงามที่คลุกเคล้านวัตกรรมสายสปอร์ตอย่างลงตัว

Article

Sports

ต่อจากนาฬิกาจับเวลาก็เข้าสู่หมวดนาฬิกาสายสปอร์ตแบบเต็มตัว เกณฑ์หลักคือการพิจารณาจากการออกแบบที่มีทั้งฟังก์ชั่น วัสดุ และความเชื่อมโยงเกี่ยวกับกีฬา มุ่งเน้นสำหรับการสวมใส่เพื่อกิจกรรมเชิงกายภาพ ต้องบอกว่านาฬิกาสปอร์ตถือเป็นนาฬิกาประเภทยอดนิยมเพราะเหมาะสำหรับการสวมใส่ในชีวิตประจำวัน Chopard เถลิงอีกหนึ่งรางวัลด้วยผลงานเรือนเวลา Alpine Eagle 41SL Cadence 8HF โดยมุ่งเน้นเรื่องนวัตกรรมความถี่สูง และมีน้ำหนักเบาที่สุดเท่าที่เคยเมซงเคยผลิต Alpine Eagle ออกมา หน้าปัดขนาด 41 มิลลิเมตร พอเหมาะพอดีกับสไตล์สปอร์ต มาพร้อมสายรับเบอร์ที่ออกแบบพิเศษ ตัวเรือนทำจากวัสดุไทเทเนียมเอฟเฟกต์เซรามิก น้ำหนักเบาแต่ยังคงกลิ่นอายความแข็งแกร่ง เช่นเดียวกับหน้าปัดที่ตัดด้วยโทนสีส้ม มอบพลังความแม่นยำ ทะมัดทะแมง และทรงพลังในเวลาเดียวกัน

Article

Jewellery

กลับมาที่สาขารางวัลที่อาจถูกใจคุณผู้หญิงกันอีกครั้งกับนาฬิกาจิวเวลรี ในปีนี้ก็มีผลงานการรังสรรค์จากเมซงจิวเวลรีชั้นนำส่งเข้าประกวดมากมาย แต่รางวัลตกเป็นของ Dior ที่กำลังเดินหน้าพัฒนาด้านนาฬิกาและจิวเวลรีอย่างจริงจังในช่วงหลัง เรือนเวลา La D de Dior Buisson Couture สะท้อนภาพความเนี้ยบประณีตของงานฝีมือด้านอัญมณีของดิออร์อย่างถึงที่สุด ตัวเรือนพิงก์โกลด์โอบล้อมหน้าปัดที่ประดับด้วยแซปไฟร์สีชมพู ซาโวไรต์ และเพชร เจียระไนผสมผสานหลากหลายรูปทรง เปรียบเปรยคล้ายช่อดอกไม้อันงดงาม เข็มเวลาถูกจัดวางอย่างแนบเนียนบริวเณตำแหน่งเลข 3 พร้อมประดับเพชรระยิบระยับ แอบซ่อนราวกับเป็น ‘Secret Watch’ เบเซลและเม็ดมะยมก็ประดับด้วยเพชรสะดุดตา ตัวสายเป็นซาตินเพิ่มมิติความหรูหราเหนือระดับ ตอกย้ำความสำเร็จในแนวทางการพัฒนานาฬิกาและจิวเวลรีที่ Victoire de Castellane ค่อยๆ ยกระดับความยอดเยี่ยมให้เมซงขึ้นเรื่อยๆ จวบจนปัจจุบัน และเชื่อว่าจะต่อยอดสู่อนาคตอย่างแน่นอน

Article

Artistic Crafts

เรื่องงานฝีมือบนเรือนเวลายังไม่หมดเท่านี้ เพราะสุดยอดเรือนเวลาสายงานฝีมือมีสาขารางวัลรองรับโดยเฉพาะ พิจารณาจากความยอดเยี่ยมในการใช้เทคนิคงานฝีมือเพื่อความงดงามด้านศิลปะ ซึ่งปีนี้รางวัลตกเป็นของ Voutilainen กับนาฬิกา 28GML SOUYOU อาจจะสร้างความประหลาดใจสักเล็กน้อย เพราะปกติเมซงนำเสนอความยอดเยี่ยมด้านกลไกและการพัฒนานวัตกรรมขนานแท้ แต่การก้าวขึ้นมารับรางวัลสายศิลปะก็พิสูจน์ความสมบูรณ์แบบได้อย่างชัดเจน โดยนาฬิกาตัวเรือนแพลทินัมนี้ใช้เทคนิคลงแล็กเกอร์แบบญี่ปุ่นเป็นไม้ตายชูโรง Tatsuo Kitamura คือศิลปินชาวญี่ปุ่นที่ผสานเรื่องราวสุดประณีตเชื่อมโยงกับเวิร์กช็อปของเมซงนาฬิกาอิสระ นาฬิกาเรือนนี้ได้แรงบันดาลใจจากคติ “SOUYOU” ที่หมายถึงความคอนทราสต์ระหว่างสีน้ำเงิน เขียว ทอง และแดง รอบนอกเปรียบเปรยถึงทะเลด้วยโทนสีเขียวและน้ำเงิน ในขณะที่ตรงกลางกับสีแดงและทองแทนสัญญะของพลังงานดวงอาทิตย์ ทั้งหมดรังสรรค์จากเทคนิค ‘Urushi’ ใช้เวลารังสรรค์นับพันชั่วโมง เพิ่มเติมรายละเอียดวัสดุตามแนวทางศิลปะญี่ปุ่นทั้งยางไม้ ผงทอง แผ่นทอง และเปลือกหอย นอกจากงานฝีมือแล้วยังมีกลไกบอกเวลา 24 ชั่วโมง สำหรับการตั้งเวลา 2 โซนเวลาไปพร้อมกัน นับเป็นเรือนเวลาสุดเซอร์ไพรส์จากเมซงสายเทคนิคที่กระโดดขึ้นแท่นรางวัลแห่งศิลปะได้อย่างน่าประทับใจ

Article

“Petite Aiguille”

หลายคนที่ไม่คุ้นเคยกับรางวัล GPHG อาจสงสัยว่ารางวัลชื่อเฉพาะที่ละม้ายคล้ายชื่อรางวัลนาฬิกายอดเยี่ยมแห่งปีนั้นคืออะไร…คำตอบคือคำว่า “Petite” หมายถึง “จิ๋ว” หรือ “เล็ก” ถ้าเปรียบเปรยก็เหมือนกับรางวัลใหญ่เป็นรุ่นเฮฟวี่เวท ส่วนรางวัลนี้คือรุ่นไลต์เวท อย่างไรอย่างนั้น กฎเกณฑ์หลักคือนาฬิกาชั้นยอดที่มีราคาขายอยู่ระหว่าง 3,000 ถึง 10,000 สวิสฟรังก์ ซึ่งรวมถึงนาฬิกาสายเทคโนโลยีด้วยเช่นกัน ซึ่งรางวัลสาขานี้ตกเป็นของ M.A.D. Editions กับเรือนเวลา M.A.D.2 Green นับว่าอาจจะพลิกล็อกเล็กน้อยเพราะ Club Sport neomatik Worldtimer จาก Nomos Glashütte เป็นเต็งจ๋า และมีกระแสพูดถึงว่าเป็นนาฬิกา ‘Underrated’ ที่สุดเรือนหนึ่งใน Watches & Wonders 2025 แต่รางวัลของผู้ชนะก็ไม่ได้ค้านสายตา เพราะผลงานจากไลน์รองของ MB&F โดดเด่นด้วยรูปแบบการบอกเวลาจากหน้าปัดแผ่นดิสก์ที่ให้อารมณ์เหมือนแผ่นไวนิล จำลองดีไซน์จากแผ่นเสียง มีการใช้เทคนิคจัดวางโรเตอร์ที่เห็นกระจ่างจากทางด้านหน้าและด้านหลัง กลไกแบบ ‘Jumping Hour’ แบบ 2 ทิศทางก็เพิ่มมิติความสนุกและน่าตื่นเต้น จึงปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า M.A.D.2 Green คือเรือนเวลาชั้นยอดที่มาในกรอบราคาอันจับต้องได้

Article

Challenge

รางวัลรุ่นจิ๋วของวงการนาฬิกาของจริงคือรางวัลสาขานี้ เพราะเกณฑ์พิจารณากำหนดชัดเจนว่าต้องมีราคาขายไม่เกิน 3,000 สวิสฟรังก์เท่านั้น ผู้เข้าชิงรางวัลจึงเต็มไปด้วยแบรนด์นาฬิกาอิสระและนักรังสรรค์นาฬิกาที่อาจเติบโตสู่แวดวงนาฬิการะดับโลกต่อไปในอนาคต หรือจะเป็นแบรนด์เก่าแก่ที่รักษามาตรฐานและระดับราคาสำหรับการเข้าถึงโดยง่าย Dennison คือแบรนด์ที่คว้ารางวัลนี้ไปครองได้สำเร็จจากผลงาน Natural Stone Tiger Eye In Gold แบรนด์สัญชาติอังกฤษที่มีอายุกว่า 150 ปี ทะยานขึ้นสู่เวทีรางวัลแห่งปีของวงการนาฬิกากับเรือนเวลาตัวเรือนสตีลสายหนัง แต่ที่น่าดึงดูดคือหน้าปัดหิน ‘Tiger Eye’ ที่ปกติมักจะเป็นวัสดุหน้าปัดของนาฬิการาคาสูง โดยนาฬิกาเรือนนี้พาย้อนกลับสู่มนต์เสน่ห์แห่งยุค 1960s ตัวเรือนเคลือบทองเข้ากับสายหนังสีน้ำตาล แต่ละเรือนหน้าปัดจะถูกคัดและตัดจากหินสีที่ไม่เหมือนกัน นอกจากนี้ยังสามารถเปลี่ยนสายหนังอิสระเพื่อเพิ่มตัวเลือกสำหรับการสวมใส่ ทั้งหมดนี้สนนราคาเพียง 660 สวิสฟรังก์เท่านั้น

Article

Mechanical Clock

โค้งสุดท้ายของลิสต์รางวัลคือรางวัลนาฬิกาตั้งโต๊ะ สุดยอดงานฝีมือชั้นสูงที่เมซงนาฬิกาชั้นยอดต่างขับเคี่ยวเพื่อชิงความเป็นเลิศ โดยรางวัลในปีนี้ L’Epée 1839 คว้าไปครองด้วยผลงาน Albatross L'Epée 1839 X MB&F โปรเจกต์คอแลบอเรชั่นสุดพิเศษที่มาในรูปแบบยานเหาะ นอกจากรูปลักษณ์โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์แล้ว นาฬิกาตั้งโต๊ะเรือนนี้ยังมีฟังก์ชั่นการบอกเวลาด้วยเสียง ตามช่วงหลักชั่วโมงและครึ่งชั่วโมง ใบพัดหมุนวนราวกับกำลังบินล่องบนท้องฟ้า สามารถปรับแต่งโหมดการใช้งานทั้งในรูปแบบเต็มระบบ แบบเงียบ และปิดการทำงานอื่น (เหลือเพียงนาฬิกาบอกเวลา) นอกจากนี้ยังสั่งการเพื่อให้ทำงานได้แบบ on-demand อีกด้วย เบื้องหลังนาฬิกาเรือนนี้ได้แรงบันดาลใจจากพาหนะอากาศชื่อ “Albatross” ในวรรณกรรมของ Jules Verner เรื่อง Robur the Conqueror รวมถึงความสนใจเรื่องการบิน จรวด และบอลลูนของนักประพันธ์คนนี้ ด้านชิ้นส่วนองค์ประกอบนาฬิกาเรือนนี้มีส่วนประกอบทั้งหมด 1,520 ชิ้น น้ำหนักรวม 17 กิโลกรัม สูงและยาว 60 เซนติเมตร กว้าง 35 มิลลิเมตร มีบาร์เรลเฉพาะสำหรับนาฬิกา 2 ชิ้นส่วน และมีบาร์เรลอื่นๆ สำหรับออโตเมตอน มากไปกว่านั้นยังมีการคิดค้นจังหวะและเวลาการหมุนที่สามารถเห็นอย่างชัดเจนแต่ไม่สร้างลมสะเทือน นับเป็นสุดยอดนาฬิกาตั้งโต๊ะแห่งปี 2025 โดยแท้จริง

Article

Audacity

รางวัลความกล้าและฉีกกรอบ…สำหรับวงการนาฬิการางวัลความสำเร็จส่วนใหญ่จะมอบให้แก่นวัตกรรมหรือความสวยงาม แต่ความบ้าบิ่นที่จะทดลองสิ่งใหม่พร้อมทำลายทุกกฎเกณฑ์ก็มีรางวัล GPHG สาขานี้รองรับเช่นเดียวกัน โดยปีนี้ Fam al Hut แบรนด์นาฬิกาสัญชาติจีนพานาฬิกา Möbius ทำลายทุกกรอบจำกัดกับนาฬิกาตัวเรือนสตีลหน้าปัดสเกเลตัน โดยมุ่งเน้นการหยิบยกองค์ประกอบของนาฬิกาชั้นสูงมาย่อส่วนและจัดเรียงใหม่ จุดเด่นสำคัญคือกลไกตูร์บิญงแบบ 2 แกนที่บรรจุลงในตัวเรือนทรงยาว มาพร้อมฟังก์ชั่นชั้นสูงทั้งการบอกหลักชั่วโมงและนาทีแบบเรโทรเกรด รวมถึง ‘Jumping Hour’ และด้วยพลังของตูร์บิญงที่มอบความเสถียรยังเก็บสะสมพลังงานได้มากกว่า 50 ชั่วโมง นอกจากนี้ตัวสายยังสอดรับกับข้อมือเพราะขอบตัวเรือนไร้ซึ่ง lug มอบความมินิมัลและโมเดิร์น สอดผสานเข้ากับความมุทะลุของ Xinyan Dai และ Lukas Yong ผู้เนรมิตเรือนเวลาที่สะกดสายตาตั้งแต่แรกเห็น

Article

Horological Revelation

รางวัลนี้สำหรับแบรนด์นาฬิกาที่มีอายุต่ำกว่า 10 ปี (นับจากเปิดตัวนาฬิกาโมเดลแรกสู่ตลาด) นวัตกรรมความยอดเยี่ยมที่มาพร้อมความสดใหม่คือหัวใจสำคัญของรางวัลสาขานี้ โดย Anton Suhanov ช่างทำนาฬิกาอิสระคือผู้ครองตำแหน่งที่อาจเปรียบเปรยว่าเป็น “ดาวรุ่งยอดเยี่ยม” ไปได้สำเร็จด้วยผลงาน St.Petersburg Easter Egg Tourbillon Clock นาฬิกาตั้งโต๊ะรูปไข่ ที่นอกจากจะมีกลไกบอกเวลาหลักชั่วโมง นาที และวินาที ยังประกอบด้วยฟังก์ชั่น World Time สำหรับการบอกเวลาทั่วโลก รวมถึงกลไกตูร์บิญง ผสมผสานกับแนวทางการสรรสร้างงานศิลปะตามมรดกทางวัฒนธรรม อีสเตอร์เอ็กของแอนตอนจึงยึดถือรูปทรงและแรงบันดาลใจ แต่ปรับเปลี่ยนให้มีความโมเดิร์น และบรรจุให้นาฬิกาเรือนนี้เป็นผลงานศิลปินรากฐานดั้งเดิมที่เตรียมถูกชุบชีวิตในรูปแบบใหม่ ความน่าทึ่งคือนาฬิกาเรือนนี้ตั้งตรงได้โดยไม่ต้องมีอะไรคอยค้ำ ส่วนกลางยังโดดเด่นด้วยการใช้เทคนิคกีโยเช่และอินาเมล วางบนฐานสเตนเลสสตีลขัดเงา และโดมได้บนทำจากแซปไฟร์คริสตัลเผยให้เห็นทุกรายละเอียดอย่างงดงาม เจาะลึกถึงเรื่องนวัตกรรม แอนตอนเสริมรายละเอียดภายในให้สามารถปรับเวลาพร้อมกันทุกโซนเวลาผ่านการตั้งเวลาเพียงรอบเดียว

Article

Chronometry

ปิดท้ายรางวัลสำหรับตัวเรือนนาฬิกากับมาตรฐานความเที่ยงตรงเกี่ยวกับการจับเวลาตามมาตรฐาน ISO 3159 โดยอิงตามหลักเกณฑ์และการตรวจสอบเชิงวิทยาศาสตร์ ซึ่งรางวัลสาขานี้ตกเป็นของ Zenith กับนาฬิกาฉลองครบรอบ 160 ปีของเมซง G.F.J. Calibre 135 ซึ่งนาฬิกาเรือนนี้ตั้งชื่อย่อตามผู้ก่อตั้งอย่าง Georges Favre-Jacot พร้อมชุบชีวิต calibre 135 ที่ขึ้นชื่อเรื่องความแม่นยำและกวาดรางวัลมาแล้วหลักพันรางวัล มีการผลิตออกมาทั้งในรูปแบบของกลไกสำหรับนาฬิกาจำหน่าย และกลไกพิเศษเพื่อการทดสอบความแม่นยำโดยเฉพาะ (calibre 135-O) รูปลักษณ์และมิติด้านสถาปัตยกรรมของกลไกดั้งเดิมถูกนำใช้แทบทั้งสิ้น วีลส่วนกลางถูกขยับเบี่ยงข้างเพื่อเปิดพื้นที่ให้บาลานซ์วีลขนาดใหญ่ถูกบรรจุเพื่อความแม่นยำและมั่นคง ส่วนบาร์เรลสามารถผลิตและสำรองพลังงานมากถึง 72 ชั่วโมง เพิ่มเติมจากเดิม 50 ชั่วโมงจากวัสดุและนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ มากไปกว่านั้นยังสร้างมาตรฐานความแม่นยำที่หลัก +/- เพียง 2 วินาทีต่อวันเท่านั้น เพิ่มเติมความสวยงามด้วยงานกีโยเช่บนกลไก งานลงสี และการงานขัดขั้นสูง นับเป็นสุดยอดเรือนเวลาอัตโนมัติที่เนรมิตหลักความแม่นยำชั้นยอดมอบสู่แวดวงนาฬิกาได้อย่างน่าทึ่งในปีนี้

ภาพ : Courtesy of GPHG / Brands