ความรักภายใต้เรือนเวลา Rolex Daytona ของ Paul Newman ตำนานจอมซิ่งแห่งฮอลลีวู้ด

คำอธิบายภาพ: Paul Newman ตำนานพระเอกตลอดกาลแห่งฮอลลีวู้ด

 

แม้จะไร้ซึ่งชีวิตและจิตใจ แต่สิ่งของทุกชิ้นล้วนแต่มีเรื่องราวเบื้องหลัง มีจิตวิญญาณเป็นของตัวเอง และยิ่งล่วงเลยผ่านกาลเวลาไปนานเท่าไร เรื่องราวก็จะยิ่งเพิ่มคุณค่าให้กับสิ่งของชิ้นนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะถ้าเจ้าของมันเป็นบุคคลที่ทั่วโลกรัก ให้ความนับถือ ยกให้เป็นต้นแบบ เรียกได้ว่าคุณค่าของมันแทบประเมินเป็นมูลค่าไม่ได้

 

บุคคลที่เราหมายความถึงในบทความนี้คือ Paul Newman นักแสดงฮอลลีวูดผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในช่วงทศวรรษที่ 60 และถือเป็น “สไตล์ไอคอนอมตะ” ที่ถึงแม้เขาจะเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2008 แต่เรื่องราวของเขายังถูกหยิบยกมากล่าวถึง บอกเล่าสู่คนรุ่นหลังอย่างไม่รู้จบ ตลอดชีวิตอันยืนยาวกว่า 8 ทศวรรษของ Newman แน่นอนว่าเขาต้องมีสิ่งของคู่กายที่หวงแหนจำนวนไม่น้อย อย่างไรก็ตามหนึ่งในไอเท็มที่มีเรื่องราวโดดเด่น และ Newman น่าจะรักมันมากที่สุดคือนาฬิกา Rolex รุ่น Cosmograph Daytona รหัสหน้าปัด 6239 นอกจากจะเป็นไอเท็มคู่กายของ Newman แล้ว นาฬิกาเรือนนี้ยังมีเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ภายใต้การเคลื่อนที่ของเข็มบนหน้าปัดที่ไม่ว่าใครได้ฟังก็ต้องรู้สึกอบอุ่นหัวใจ จนกระทั่งได้นำไปสู่การประมูลครั้งประวัติศาสตร์แห่งโลกเรือนเวลา เรื่องราวดังกล่าวจะเป็นอย่างไร ติดตามอ่านได้ในบทความนี้

คำอธิบายรูป: Paul Newman และ Joanne Woodward ตำนานคู่รักแห่งฮอลลีวู้ด

 

แน่นอนว่าในโลกแห่งการแสดง คงไม่มีใครกังขาถึงฝีมือของ Paul Newman เพราะครั้งหนึ่งเขาถึงขั้นเคยคว้ารางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากผลงานเรื่อง The Color of Money ในปี 1986 นอกจากนั้นไม่ว่าจะเป็นบทบาทนักเล่นพูลฝีมือระดับเซียนจาก The Hustler (1961), นักโทษจอมแสบจาก Cool Hand Luke (1967), จอมโจรมาดเท่จาก Butch Cassidy and the Sundance Kid (1969) และอื่นๆ อีกมากมายก็ล้วนแต่เป็นการแสดงที่ประทับอยู่ในความทรงจำของผู้ชมอย่างไม่รู้ลืมทั้งสิ้น นอกจากนั้นบทบาทการเป็นแฟชั่นไอคอนของเขาก็โดดเด่นไม่แพ้กัน ทั้งๆ ที่ยุคสมัยของ Newman ในวัยหนุ่มนั้นล่วงเลยมาหลายสิบปีแล้ว แต่ในปัจจุบันก็ยังเห็นภาพของเขาในบทความสอนเรื่องการแต่งตัวบนโลกอินเตอร์เน็ตอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ Newman จะกลายเป็น “ต้นแบบ” ให้ผู้ชายจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะอเมริกันชนในช่วงเวลาดังกล่าวให้อยากเดินรอยตาม อย่างไรก็ตาม Newmanยังมีอีกหนึ่งบทบาทที่ช่วยขับเน้นให้ภาพลักษณ์การเป็นผู้ชายมาดเท่ของเขาชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีกคือการเป็น “พระเอกเจ้าความเร็ว”

 

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นในปี 1969 เมื่อ Newman ได้รับบทนำ Winning ภาพยนตร์ที่ว่าด้วยเรื่องราวการขับเคี่ยวกันในโลกแห่งความเร็ว และมันก็ได้จุดประกายให้ Newman เริ่มสนใจเรื่องรถแข่ง นับตั้งแต่นั้น Newman ก็ฝึกฝนฝีมือการบังคับพวงมาลัยของตัวเองเรื่อยมา ก่อนที่จะเริ่มเข้าแข่งขันในระดับอาชีพครั้งแรกในปี 1973 รายการ SCCA National Championship เมื่อดาราดังย่างกรายเข้าสู่โลกแหง่รถแข่ง พวกเขาเหล่านั้นมักจะโดนปรามาสเสมอว่าคงเห็นการแข่งรถเป็นแค่งานอดิเรก หรือคิดว่าสิ่งนี้เป็น “ของเล่นคนรวย” ที่จะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของตัวเองให้ดียิ่งขึ้นแต่นั่นไม่ใช่วิถีของ Newman เขาแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

 

Newman เอาจริงเอาจังกับการเป็นนักแข่งรถอย่างมาก โดยตลอดชีวิตเขาเข้าแข่งขัน SCCA National Championship มากถึง 11 ครั้ง ตั้งแต่ปี 1973-2002 และสามารถคว้าแชมป์ไปได้ 4 ครั้งในรุ่น D Production, C Production, และ GT1 รวมถึงรายการแข่งรถอีกมากมายที่ไม่อาจกล่าวถึงได้หมด แต่ผลงานที่น่าภาคภูมิใจที่สุดของเขาในฐานะนักขับคือการคว้าตำแหน่งรองชนะเลิศในศึก 24 Hours of Le Mans ซึ่งถือเป็นการแข่งขันแบบเอ็นดูรานซ์ (แข่งความอึดของทั้งรถ, นักขับ และทีม) ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มอเตอร์สปอร์ต

คำอธิบายภาพ: Paul Newman ในมาดนักแข่งรถ

 

ในปี 1979 Newman ในนามนักแข่งทีม Dick Barbour Racing ร่วมกับ Rolf Stommelen และ Dick Balboa เพื่อนนักขับอีก 2 คน ได้ควบรถ Porsche 935 วิ่งรอบสนามความยาว 13.626 กิโลเมตร ได้ 299 รอบสนาม ถือเป็นจำนวนที่มากเป็นอันดับที่ 2 แพ้ Porsche 935 ของทีม Kremer Racing ที่ทำได้ 307 รอบ เพียงทีมเดียวเท่านั้น รางวัลรองชนะเลิศที่ Newman ได้รับ ส่งผลให้เขากลายเป็นหนึ่งในบุคคลมีชื่อเสียงที่สามารถสร้างผลงานได้ดีที่สุดในฐานะนักแข่งรถตลอดกาล แน่นอนว่า Newman ภูมิใจกับมากๆ เช่นเดียวกับผู้คนทั่วโลกที่ก็คงรู้สึกนับถือในตัวพระเอกผู้ยิ่งใหญ่แห่งฮอลลีวูดผู้นี้ อย่างไรก็ตามการเป็นนักแข่งรถคือดาบสองคม ต้องไม่ลืมว่าในยุคสมัยดังกล่าวความปลอดภัยในกีฬามอเตอร์สปอร์ตนั้นต่ำกว่าในยุคปัจจุบันมาก การเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุในสนามแทบจะเป็นเรื่องปกติที่เห็นได้จนชินตา จนมีคำกล่าวว่า

 

“การเป็นนักแข่งรถก็เหมือนเหยียบขาข้างหนึ่งเข้าไปในโลกแห่งความตายแล้ว” ด้วยเหตุผลนี้ทำให้ในขณะที่ทุกคนกำลังชื่นชม Newman ในฐานะนักแข่งรถฝีมือดี กลับมีหนึ่งคนที่อาจจะร่วมชื่นชมได้ไม่เต็มที่นัก เพราะในจิตใจเต็มไปด้วยความเป็นห่วง คนๆ นั้นไม่ใช่ใคร Joanne Woodward ภรรยาของ Newman นั่นเอง ฮอลลีวูดคือดินแดนแห่งการสร้างตำนานรัก ประโลมคนทั้งโลกด้วยภาพยนตร์หรือละครโรแมนติก โดยในตอนสุดท้ายเรื่องราวมักจบลงด้วยการที่ “และแล้วพวกเขาก็ได้ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข” แต่ชีวิตจริงของผู้คนในฮอลลีวูดกลับไม่ค่อยเป็นเช่นนั้น…

คำอธิบายภาพ: Paul Newman ในมาดนักแข่งรถ

 

อาจจะด้วยเงินตราอันมั่งคั่งและการใช้ชีวิตภายใต้แสงสีเย้ายวนใจ จากผลสำรวจของ Census Data ที่เผยออกมาในปี 2017 เผยว่าอัตราการหย่าร้างของคู่รักคนดังในฮอลลีวูดอยู่ที่ 52% มากกว่าอัตราของผู้คนทั่วไปถึงสองเท่าตัว ดังนั้นการที่จะเห็นคู่รักคนดังครองรักกันได้อย่างยาวนานจึงไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยนัก แต่ดูเหมือนสมการนี้ดูเหมือนจะใช้ไม่ได้กับ Newman และ Woodward เพราะนับตั้งแต่วันที่จดทะเบียนสมรสกัน ทั้งคู่ก็ไม่เคยพลัดพรากจากกันเลยจนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายของ นิวแมน สิ้นสุดลงไปในปี 2008 รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 50 ปี เรียกได้ว่า Newman และ Woodward คือตำนานรักแห่งฮอลลีวู้ดอย่างแท้จริง….

 

ทั้งคู่พบกันครั้งแรกในปี 1953 เป็นตอนที่ Newman ทำการแสดงเรื่อง Picnic ผลงานละครเวทีบรอดเวย์เรื่องแรกในชีวิตของเขา และที่สำคัญช่วงเวลาดังกล่าว Newman ไม่ใช่หนุ่มโสด เขาแต่งงานกับ แจ็คกี้ ภรรยาคนแรก พร้อมให้กำเนิดทายาทด้วยกันทั้งหมด 3 คน มันเป็นวันอากาศร้อนจัดในเดือนสิงหาคม Woodward นักแสดงหน้าใหม่ในวัย 22 รู้สึกอึดอัดไม่ใช่น้อยกับรองเท้าส้นสูงและถุงมือยาวที่เธอต้องสวมใส่ เหงื่อเม็ดเล็กๆ ไหลออกมาตามร่างกายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก่อนที่เธอจะหันไปเห็น Newman พระเอกของเรื่อง “เขาเหมือนกับโฆษณาไอศกรีมครีมโซดาที่เข้ามาช่วยดับร้อน แต่ฉันก็ไม่ได้ประทับใจอะไรเขามากมาย ก็แค่คิดว่า เขาก็น่ารักดีนะ”  Woodward เล่าย้อนความหลัง ฝั่งของ Newman ถึงแม้ว่าเขาจะมีครอบครัวแล้วจึงไม่อาจแสดงออกอะไรมากมาย แต่ลึกๆ เขาก็รู้สึกประทับใจหญิงสาวผมบลอนด์ จากเมืองโธมัสวิลล์ รัฐจอร์เจีย คนนี้ไม่ใช่น้อย “เธอเป็นคนทันสมัยและรักความอิสระ ในขณะที่ผมเป็นคนหัวโบราณ หลังจากที่ได้รู้จักกันผมต้องพยายามอย่างมากเพื่อเปลี่ยนความคิดเธอว่าผมไม่ใช่คนน่าเบื่อ”

คำอธิบายรูป: Paul Newman ในมาดนักแข่งรถ

 

ทั้งคู่เริ่มต้นด้วยความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อน ไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่านั้น เมื่อละครบรอดเวย์เรื่อง Picnic จบลง ต่างฝ่ายก็แยกย้ายกันไปตามเส้นทางของตัวเอง อย่างไรก็ตาม 4 ปีต่อมาโชคชะตาก็นำพาให้ทั้งคู่โคจรมาเจอกันอีกครั้งในภาพยนตร์เรื่อง The Long, Hot Summer เป็นอีกครั้งที่เคมีของพวกเขาช่างเข้ากันเหลือกัน ทั้งการแสดงในจอ และความสัมพันธ์นอกจอ สุดท้าย Newman ก็ตัดสินใจหย่าขาดกับ แจ็คกี้ ภรรยาคนเก่า ก่อนที่ในปีต่อมาเขากับ Woodward จะตัดสินใจแต่งงานกัน ณ ลาส เวกัส ปฏิเสธไม่ได้ว่าในเรื่องนี้ Newman คือคนผิด และเขาก็ยินดีพร้อมรับคำสาปแช่งจากคนทั่วโลก แต่ในเมื่อหัวใจเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว การฝืนอยู่กันต่อไปก็มีแต่จะทำให้เกิดความทุกข์ เสียเวลากันทั้งสองฝ่าย สิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุดคือดูแลอดีตภรรยาและลูกๆ ทั้งสามให้ดีที่สุดเท่าที่คนๆ หนึ่งจะทำได้

 

“ผมรู้สึกผิดเหมือนตกนรกทั้งเป็น” “และผมยินดีที่จะแบกความรู้สึกผิดนี้ติดตัวผมไปตลอดชีวิต” ความรู้สึกของ Newman สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าถึงแม้คนทั่วโลกจะยกย่องให้เขาเป็นยอดบุรุษ แต่จริงๆ แล้ว Newman ก็เป็นเพียงแค่มนุษย์คนหนึ่ง มีถูก มีผิด และที่สำคัญคือมีความรักเฉกเช่นปัจเจกชนทั่วไป หลังจากนั้นก็อย่างที่ทราบ Newman ได้ใช้ชีวิตที่เหลือเคียงข้างกับ Woodward ตราบจนลมสุดท้ายของชีวิต โดยพวกเขาใช้เวลาส่วนใหญ่อาศัยอยู่ที่บ้านไร่ของ Newman ในมลรัฐคอนเนตทิคัต

 

“เขาดูดีมาก เซ็กซี่มากก็จริง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาทำให้ฉันหัวเราะได้เสมอ” Woodward กล่าวถึงชายที่เป็นรักแท้ของเธอ “สิ่งที่พบเห็นได้บ่อยครั้งคือพวกเขาทั้งคู่ออกมานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในบริเวณบ้าน ก่อนที่ โจแอน จะค่อยๆ เอนกายนอนลงบนตักของ พอล จากนั้น พอล ก็ใช้มือลูบไปตามเส้นผม ใบหน้า และโน้มตัวลงมาจุมพิตหน้าผากของเธอ นั่นคือสิ่งที่โรแมนติกที่สุดที่ฉันเคยเห็นในชีวิต Joyce Carol Oates นักเขียนผู้ติดตามคู่รักฮอลลีวูดคู่นี้เพื่อเขียนหนังสือชีวประวัติของ Paul Newmanเล่าย้อนความหลัง

คำอธิบายภาพ: ข้อความ DRIVE CAREFULLY ME ที่ Joanne Woodward แสดงความเป็นห่วงสามี

 

ด้วยเรื่องราวเหล่านี้คงทำให้พอนึกภาพออกว่า Newmanกับ Woodward รักกันขนาดไหน และความรู้สึกของเธอจะเป็นอย่างไรเมื่อสามีผันตัวกลายไปเป็นนักแข่งรถ หนึ่งในกีฬาที่อันตรายที่สุดในช่วงเวลาดังกล่าว ดังนั้นในเดือนพฤษภาคมปี 1969 Woodward จึงได้มอบของขวัญชิ้นหนึ่งแก่ Newman เป็นของขวัญที่สื่อแทนความรู้สึกของเธอได้อย่างนุ่มนวลที่สุดว่า “ฉันเป็นห่วงคุณนะ แต่ฉันก็ไม่บังคับคุณ” ของขวัญชิ้นดังกล่าวคือนาฬิกา Rolex รุ่น Cosmograph Daytona รหัสหน้าปัด 6239 โดยด้านหลังของตัวเรือนมีการสลักคำว่า “DRIVE CAREFULLY, ME” หรือแปลว่า “ขับรถระวังๆ นะ จากฉันเอง” ซึ่ง Woodward ได้สั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษจากร้าน Tiffany & Co ในนครนิวยอร์ก โดยคาดว่าเธอจ่ายเงินเพื่อของขวัญชิ้นนี้ไปประมาณ 1,000-1,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ

 

นอกจากนั้น ต้นกำเนิดของ Rolex รุ่น Cosmograph Daytona นั้นก็เกี่ยวข้องกับเรื่องของความเร็วโดยตรงเนื่องจากมันคือรุ่นที่ทาง Rolex ตั้งใจสร้างสรรค์นาฬิกาที่มีความเที่ยงตรงที่สุด เพื่อสามารถนำมาจับเวลาในการซ้อมและการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตได้ โดยคำว่า Daytona นั้นมาจากชายหาดเดย์โทนา รัฐฟลอริดา ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Daytona International Speedway หนึ่งในสนามแข่งรถที่โด่งดังที่สุดในโลก ซึ่งเป็นสังเวียนแข่งขัน NASCAR รายการ Daytona 500 และเอ็นดูรานซ์รายการ 24 Hours of Daytona

 

นาฬิกา Rolex Daytona 6239 มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 37 เซนติเมตร หน้าปัดสีขาวนวล มาพร้อมสายหนังแบบคาดมือ (Fat Leather Strap) โดยหลังจากที่ได้รับของขวัญสุดล้ำค่าจากคนที่เขารักที่สุดในโลก Newmanก็สวมมันติดตัวตลอดเวลา หลักฐานคือภาพถ่ายของพระเอกคนดังในช่วงปี 1969-1984 แทบทุกภาพจะต้องมีนาฬิกาเรือนนี้ประดับอยู่ตรงบริเวณข้อมือของเขา แม้แต่ในตอนที่ นิวแมน เข้าร่วม Lime Rock Racing หรือ 24 Hours of Le Mans รายการแข่งขันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของ Newman Rolex Daytona เรือนนี้ก็อยู่เป็นสักขีพยานกับรางวัลรองชนะเลิศของเขาด้วย Rolex Daytona เรือนนี้อยู่เคียงคู่กับ Newman เป็นระยะเวลายาวนานถึง 14 ปี จนกระทั่งฤดูร้อนปี 1983 เขาก็ได้ส่งต่อมันให้กับ James Cox แฟนหนุ่มของ Nell Newman ลูกสาวของเขา เพื่อเป็นของขวัญตอบแทนในการที่ Cox มาซ่อมบ้านต้นไม้ให้กับเขา

คำอธิบายภาพ: Paul Newman และ Joanne Woodward ตำนานคู่รักแห่งฮอลลีวู้ด

 

อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าความรักระหว่าง Newman กับ Woodward จืดจางลง หรือนาฬิกาเรือนนี้มีคุณค่าต่อตัวเขาน้อยลง แต่ James Cox คือบุคคลสำคัญในชีวิตของ Newman เช่นกัน เพราะถึงแม้สุดท้าย Cox จะเลิกรากับ Neil ไป แต่เขาก็ยังไปมาหาสู่กับครอบครัว Newman ตลอด ราวกับเป็นสมาชิกครอบครัวคนหนึ่งไปแล้ว ดังนั้นการส่งมอบครั้งนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากการที่พ่อให้ของขวัญกับลูกชาย “นาฬิกาเรือนนี้มันยอดเยี่ยมจริงๆ มันทำให้ผมหวนนึกย้อนถึงวันวานดีๆ ในอดีต หวนถึงสถานที่ที่เคยไป ร่วมกับครอบครัวนิวแมน มันเป็นสิ่งของที่ดีที่สุดในชีวิตของผมเลยก็ว่าได้” James Cox กล่าว และเขาก็หมายความเช่นนั้นจริงๆ เพราะถ้าเขาจะหักหาญน้ำใจ Newman นำนาฬิกาเรือนนี้ไปขาย เขาก็ทำได้ และคงจะกลายเป็นเศรษฐีร้อยล้านไปแล้ว แต่ Cox ก็เลือกที่จะเก็บรักษามันไว้อย่างดีที่สุด

 

Rolex Daytona 6239 ของ Paul Newman อยู่ในการครอบครองของ James Cox เรื่อยมา นับตั้งแต่ปี 1983 จนกระทั่งในปี 2017 จากความเห็นชอบร่วมกันของ Cox  และครอบครัว Newman เขาได้นำมันมาขึ้นประมูล ในงานประมูลครั้งสำคัญที่จัดขึ้นโดยสถาบันประมูล Phillips ซึ่งมีชื่อเสียงเรื่องการประมูลของมีค่าคนดัง ตั้งอยู่ในมหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา นอกจากความตั้งใจที่จะส่งมอบนาฬิกาเรือนนี้ให้กับผู้ที่รักในตัวของ Paul Newman จริงๆ แล้ว รายได้จากการประมูลในครั้งนี้ก็เพื่อการกุศล โดยจะส่งมอบเข้าสู่มูลนิธิ Newman’s Own ซึ่งเป็นของครอบครัว Newman และอีกส่วนจะเป็นทุนในการสานต่อโครงการอาหารออร์แกนิกของ Neil ที่เธอยากทำให้สำเร็จเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นของผู้คน 

 

ถึงแม้ที่ผ่านมาสถาบันประมูล Phillips จะเคยประมูลของมีค่าของคนดังมาแล้วมากมาย แต่ดูเหมือนว่า Rolex Daytona 6239 ของ Paul Newman เรือนนี้จะแตกต่างออกไป นั่นคือการที่มันเป็นทั้งไอเท็มคู่ใจของหนึ่งในดาราที่ยิ่งใหญที่สุดตลอดกาล เป็นสไตล์ไอคอนที่อมตะมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้นมันยังเป็นของขวัญที่ Joanne Woodward มอบให้สามีแทนความห่วงใยอีกด้วย เรียกได้ว่ามันคือเรือนเวลาที่อัดแน่นทั้งเรื่องประวัติศาสตร์และความรู้สึก “หลายคนพูดว่ามันคือนาฬิกาที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกใบนี้ นาฬิกาเรือนนี้อยู่เหนือนาฬิกาทุกเรือน” “นาฬิกาเรือนนี้คือชิ้นส่วนแห่งประวัติศาสตร์ของอเมริกา” Jeff Hess นักสะสม Rolex และซีอีโอของ Analog Shift กล่าว ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ร่วมประมูลกล่าว

 

การประมูลครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 400 คน แต่หลายคนก็ต้องยอมแพ้กลับไปในเวลาอันรวดเร็ว เนื่องจากหลังเวลาผ่านไปแค่ 12 นาที ก็มีสายโทรศัพท์จากชาวเอเชียโทรเข้ามา ก่อนที่พิธีกรจะประกาศว่า “10 ล้านดอลลาร์!” “สารภาพตรงๆ เลยว่าผมไม่คิดว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น” แม้แต่ Urial Beck ผู้จัดการประมูลก็แทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น และนั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น หลังจากนั้นยังคงมีการเสนอราคาต่อสู้กันอย่างดุเดือดราวกับอยู่ในสนามรบ จนกระทั่งในช่วงวินาทีสุดท้ายของการประมูล ก็มีสายโทรศัพท์ของผู้ไม่ประสงค์ออกนามเสนอราคาที่17,752,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้เจ้าของสายโทรศัพท์นี้กลายเป็นผู้ชนะไปด้วยมูลค่าที่สูงเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด ปิดการประมูลครั้งประวัติศาสตร์ลงอย่างสมบูรณ์ และส่งให้ Rolex Daytona เรือนนี้ขึ้นบัลลังก์กลายเป็นนาฬิกา Rolex ที่แพงที่สุดตลอดกาลไปในทันที

 

ถึงแม้ Paul Newman’s Rolex Daytona 6239 จะไม่ใช่นาฬิกาข้อมือที่แพงที่สุดในโลก (เรือนที่แพงที่สุดในโลกคือ Graff Diamonds Hallucination ที่ประดับด้วยเพชร 110 กะรัต ทำให้มีมูลค่าสูงถึง 55 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) แต่แท้จริงแล้วคุณค่าของมันอาจจะไม่เกี่ยวกับราคาเลยด้วยซ้ำ เพราะไม่ว่ายังไงนาฬิกาเรือนนี้ก็มีคุณค่าที่ไม่อาจประเมินได้ในตัวมันเองอยู่แล้ว คุณค่าที่ว่าคือเรื่องราว ความรัก ความห่วงใย ความทรงจำ และหมุดหมายทางประวัติศาสตร์ของ Paul Newman ชายผู้เป็นไอคอนตลอดกาลของโลกใบนี้…