Vogue Thailand

WATCHES & JEWELLERY

เปิดจักรวาลนาฬิกาของ Louis Vuitton กับการพัฒนาเรือนเวลาสู่มิติความน่าสนใจอันไม่รู้จบ

Michel Navas และ Enrico Barbasini รังสรรค์เรือนเวลาชั้นยอดภายใต้ร่ม Louis Vuitton ยกระดับนาฬิกาของเมซงให้ก้าวอีกขึ้นระดับอย่างมีนัยสำคัญ

โดย Nattanam Waiyahong
23 กรกฎาคม 2568

The Universe OF TIME
เมื่อ Louis Vuitton ก้าวเข้าสู่โลกแห่งกลไกเวลาที่ไม่เพียงสร้างนาฬิกา แต่สร้างจักรวาลเวลาที่ทุกวินาทีสะท้อนจิตวิญญาณของหัตถศิลป์ วิศวกรรม และความกล้าที่จะดีไซน์ในแบบฉบับของตัวเอง
 

ในโลกของแฟชั่นหลุยส์ วิตตองเปรียบเสมือนมหาอำนาจผู้เปลี่ยนภาพลักษณ์ของการเดินทางให้กลายเป็นศิลปะ และเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้กลายเป็นความฝันที่มีเอกลักษณ์ วันนี้แบรนด์ระดับตำนานได้ก้าวเข้าสู่มิติใหม่ที่จริงจังกว่าสิ่งของประดับกาย นั่นคือ “โลกของกลไกเวลา” ที่ไม่ใช่เป็นเพียงบทบาทของแบรนด์แฟชั่นที่อยากมีนาฬิกาเป็นของตัวเอง แต่เป็นการสร้างจักรวาลแห่งเวลาที่เดินด้วยปรัชญา วิศวกรรม และหัตถศิลป์ที่เทียบชั้นกับแบรนด์นาฬิกาหรูชั้นสูงอายุหลายร้อยปี การเดินทางของหลุยส์ วิตตองในโลกแห่งกลไกเริ่มต้นขึ้นในปี 2002 ด้วยการเปิดตัวคอลเล็กชั่นนาฬิกาแรกภายใต้ชื่อ Tambour ในภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่า “กลอง” ซึ่งไม่ใช่แค่ชื่อ แต่คือคอนเซปต์ที่มาพร้อมตัวเรือนทรงกระบอกฐานกว้างราวกลองที่เปล่งเสียงหนักแน่น สะท้อนถึงจุดยืนของแบรนด์ที่ไม่กลัวจะแตกต่าง กับดีไซน์ที่กล้าหาญจนกลายเป็นซิกเนเจอร์ที่ไม่มีใครเลียนแบบได้ ทำให้คอลเล็กชั่นนี้เปรียบดั่งสัญญาณที่ประกาศก้องถึงความพร้อมของแบรนด์ที่จะสร้างจักรวาลเวลาของตัวเองที่ลุ่มลึกกว่าการเป็นนาฬิกาแฟชั่น 


หลุยส์ วิตตองก้าวสู่โลกของนาฬิกาอย่างจริงจังมากขึ้นในปี 2011 
โดยเข้าซื้อกิจการ La Fabrique du Temps โรงงานผลิตกลไกอิสระในเมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นของตัวเอง ก่อตั้งโดยสองปรมาจารย์ด้านนาฬิกา Michel Navas และ Enrico Barbasini ผู้อยู่เบื้องหลังกลไกของแบรนด์ชั้นสูงมากมาย ซึ่งภายใต้การนำของทั้งสองและวิสัยทัศน์ของแบรนด์ทำให้โรงงานแห่งนี้กลายเป็นหัวใจสำคัญของนาฬิกาที่ทุกกลไกไม่ได้ถูกผลิตซ้ำ แต่สร้างขึ้นใหม่ ที่เปลี่ยนจากแค่สวมใส่เพื่อแฟชั่นเป็นวัตถุแห่งเวลาที่รวมเอาศิลปะ เทคโนโลยี และจิตวิญญาณของการประดิษฐ์ไว้ด้วยกันอย่างครบถ้วน 

อีกหนึ่งในความสำเร็จที่เป็นหมุดหมายสำคัญของหลุยส์ วิตตองคือการคิดค้นกลไก Spin Time โดย Michel และ Enrico ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2009 ก่อนที่แบรนด์จะซื้อ La Fabrique du Temps อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นกลไกที่เปลี่ยนวิธีแสดงชั่วโมงจากเข็มชี้แบบดั้งเดิมเป็นลูกบาศก์ที่หมุนเผยตัวเลขเวลาขึ้นมาอย่างนุ่มนวล และเปี่ยมด้วยเสน่ห์ โดยได้แรงบันดาลใจจากป้ายเที่ยวบินที่สนามบิน ซึ่งไม่เพียงน่าทึ่งในเชิงเทคนิค แต่ยังสื่อสารถึงแนวคิดสำคัญของแบรนด์ว่า “เวลาไม่จำเป็นต้องถูกตีกรอบด้วยแบบเดิมๆ” และหากคุณกำลังมองหาเรือนเวลาที่มากกว่าเครื่องบอกชั่วโมง นี่คือจักรวาลเวลาที่คุณควรได้เข้าไปสัมผัส

Article
  • TAMBOUR  TAIKO  SPIN TIME

ในปี 2024 หลุยส์วิตตองได้เปิดตัว Tambour Taiko Spin Time นาฬิกาคอลเล็กชั่นใหม่ที่ยกระดับ Spin Time ขึ้นสู่ความสมบูรณ์แบบด้วยการพัฒนากลไกภายในจนถึงดีไซน์ภายนอกใหม่ทั้งหมด โดยผลิตเองภายในโรงงาน La Fabrique du Temps ซึ่งคำว่า “Taiko” ได้แรงบันดาลใจจากกลองไทโกะของญี่ปุ่นที่ใช้ในพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ สะท้อนถึงการผสานจังหวะอันทรงพลังเข้ากับการรังสรรค์อย่างสง่างาม Tambour Taiko มาพร้อมกลไก Spin Time เจเนอเรชั่นใหม่ที่ใช้ลูกบาศก์แบบคุชชั่นรูปทรงโค้งมนและเงางามมากขึ้น ซึ่งแตกต่างจากรุ่นก่อนที่ใช้ทรงเหลี่ยมแบบตัดตรง ทำให้แสงตกกระทบในมุมต่างๆ ได้อย่างสวยงาม พร้อมเพิ่มมิติและความลึกให้กับหน้าปัดอย่างมีเอกลักษณ์ ทั้งนี้ภายในลูกบาศก์แต่ละลูกมีเกียร์แบบ Maltese cross รุ่นใหม่ที่จดสิทธิบัตรเฉพาะ และรองรับการปรับเวลาทั้งเดินหน้าและถอยหลังโดยไม่กระทบกับกลไก ซึ่งเป็นความหรูหราทางวิศวกรรมที่แทบไม่มีใครกล้าทำ

สำหรับตัวเรือนของ Taiko ยังคงใช้ดีเอ็นเอของ Tambour ดั้งเดิมแต่เปลี่ยนโครงสร้างใหม่หมดให้มีความบางมากกว่าเดิมเพื่อให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ และปรับขานาฬิกาใหม่ให้เข้ากับตัวเรือนเพื่อเสริมสร้างมนตร์เสน่ห์แห่งความหรูหราที่ทันสมัยขึ้น โดยตัวเรือนของนาฬิกาคอลเล็กชั่นนี้เป็นทองคำขาวมาพร้อมขนาด 39.5 มิลลิเมตร ถูกออกแบบใหม่ให้สมดุลทั้งความแข็งแกร่งและความประณีตด้วยโทนสีน้ำเงินเทาแบบดอลฟิน เกรย์ มีทั้งเวอร์ชั่นหน้าปัดลายซันเรย์ และลายตาเหยี่ยวทอประกายแวววาว ประดับเพชรทรงแบเกต 94 เม็ดสวยงามระยิบระยับ จับคู่มากับสายยางสีดอลฟิน เกรย์ 

มากไปกว่านั้น Tambour Taiko Spin Time ยังออกแบบมาเพื่อให้มีความกลมกลืนระหว่างศิลปะงานช่างฝีมือและวิศวกรรมการผลิตนาฬิกาชั้นสูง อย่างตัวเรือนที่ได้รับแรงบันดาลใจจากกลองไทโกะ ไปจนถึงหน้าปัดที่เน้นความโปร่งใสเผยให้เห็นกลไกที่ทำงานราวกับมีชีวิตแล้วนั้นยังมีรุ่น Tambour Taiko Spin Time Air ตัวเรือนขนาด 42 มิลลิเมตรโดดเด่นด้วยลูกบาศก์หมุนลอยกลางอากาศ ภายในโครงสร้างที่โปร่งใส โดยมีกลไกอยู่ตรงกลางราวกับดวงดาวในจักรวาลรุ่น Tambour Taiko Spin Time Air Antipode ที่มาพร้อมรายละเอียดและฟังก์ชั่นเวิลด์ไทม์แสดงเวลา 24 เมืองทั่วโลก ด้วยลูกบาศก์ 12 ลูกที่หมุนพร้อมลูกศรชี้เวลาแต่ละโซน พิเศษตรงที่จับคู่เมืองที่อยู่ตรงข้ามโลกได้ เช่น นิวยอร์กกับฮ่องกง, ลอนดอนกับโอ๊คแลนด์ และรุ่น Tambour Taiko Spin Time Air Flying Tourbillon ที่ท้าทายขีดจำกัดด้วยกลไกที่แขวนลอยอยู่บริเวณใจกลางของตัวเรือนประดับด้วยดอกไม้ โมโนแกรมที่หมุนหนึ่งรอบต่อนาที โครงสร้างภายในอัดแน่นจนต้องจัดวางกลไกแบบวงในอย่างพิถีพิถัน ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จเชิงวิศวกรรมชิ้นเอก 


ทุกองค์ประกอบของ Tambour Taiko Spin Time แสดงให้เห็นถึงการผสมผสานระหว่างช่างฝีมือ วัสดุชั้นเยี่ยม เทคนิคการขัดแต่ง 
และวิศวกรรมการผลิตนาฬิกาชั้นสูง รวมไปถึงกลไกที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ที่ถือเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์สำคัญว่าหลุยส์ วิตตองไม่ได้ก้าวเข้าสู่วงการนาฬิกาในฐานะแบรนด์แฟชั่นที่ต้องการผลิตนาฬิกาเพื่อเติมเต็มคอลเล็กชั่น หากแต่ยืนหยัดในฐานะผู้สร้างเรือนเวลาที่จริงจัง ลึกซึ้ง และกล้าสร้างภาษาของตนเองในจักรวาลของกลไก

Article
  • TAMBOUR CONVERGENCE

ในโลกของนาฬิกาชั้นสูง ความกล้าหาญในการรังสรรค์ไม่จำเป็นต้องแสดงออกด้วยความซับซ้อนเสมอไป บางครั้งความนิ่งเรียบต่างหากที่เปล่งพลังได้ทรงพลังที่สุด และนี่คือสิ่งที่ทำให้หลุยส์ วิตตองเลือกที่จะนำเสนอ Tambour Convergence เรือนเวลาที่ไม่เพียงแต่ตีความคำว่า “เวลา” ใหม่เท่านั้น แต่ยังยกระดับการประดิษฐ์นาฬิกาและศิลปะแห่งการออกแบบให้กลายเป็นบทกวีบนตัวเรือนที่ประพันธ์ขึ้นด้วยกลไก โลหะ และแสง สู่เรือนเวลาที่เปล่งประกายงดงาม 


คำว่า “Convergence” หรือ “การบรรจบ
กัน” ในที่นี้ไม่ใช่เพียงชื่อของคอลเล็กชั่นที่หลุยส์ วิตตองตั้งใจคิดขึ้น แต่คือแนวคิดหลักของการออกแบบนาฬิกาที่ผสานลักษณะการบอกค่าของกลไก ดีไซน์ตัวเรือน และความงดงามในการตกแต่งเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว เกิดเป็นบุคลิกพิเศษเฉพาะตัวที่แสนโดดเด่น และอีกนัยหนึ่งคือการทำงานร่วมกันของ 3 หน่วยงานผลิตนาฬิกาของหลุยส์ วิตตองในโรงงานที่สวิส ตั้งแต่ออกแบบสร้างและผลิตกลไก “La Fabrique du Temps” หน่วยงานผลิตตัวเรือน “La Fabrique des Boîtiers” และหน่วยสร้างงานฝีมือ “La Fabrique des Arts”


Tambour Convergence นำเสนอการแสดงเวลาที่ได้รับแรงบันดาลใจจากนาฬิกาสไตล์ “Montre à Guichet” ที่เคยเฟื่องฟูในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 และศิลปะตกแต่งภายในบ้านของครอบครัววิตตองในเมือง Asnières
ซึ่งมีเส้นโค้งสไตล์อาร์ตนูโวเป็นองค์ประกอบนำมารังสรรค์เป็นนาฬิกาไร้หน้าปัดที่มีตัวเรือนขนาด 37 มิลลิเมตรบางเพียง 8 มิลลิเมตร ซึ่งถือว่าเล็กกะทัดรัดแต่เปี่ยมด้วยรายละเอียด โดยจะแสดงเวลาเป็นชั่วโมงและนาทีผ่านตัวเลขบนดิสก์หมุนบนช่องหน้าต่างทรงโค้งที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา ซึ่งเป็นตำแหน่งอ่านเวลาแทนเข็มบอกเวลาปกติ มาพร้อมตัวเรือน 2 รูปแบบคือตัวเรือนพิงก์โกลด์ในสไตล์คลาสสิกและตัวเรือนแพลทินัมประดับเพชรจำนวน 795 เม็ด น้ำหนัก 1.75 กะรัต แบบ snow-setting ที่ต้องใช้ฝีมือช่างชั้นสูงกว่า 30 ชั่วโมงในการฝังเพชรให้แน่นสนิทเหมือนพื้นหิมะ สวมใส่คู่สายหนังนาฬิกาลูกอูฐสีน้ำตาลหรือสายหนังลูกวัวสีน้ำเงิน


ภายในนาฬิกาคอลเล็กชั่นนี้บรรจุด้วย Calibre LFT MA01.01 กลไกจักรกลอัตโนมัติที่หลุยส์ วิตตองสร้างขึ้นเองทุกชิ้นส่วน โดยกลไกนี้ทำงานที่ความถี่ 4Hz พร้อมพลังงานสำรอง 45 ชั่วโมง พร้อมใช้โรเตอร์ทองชมพู ตกแต่งอย่างประณีตด้วยขอบ V-notched ขัดเงา และสะท้อนแสงอย่างนุ่มนวลราวโลหะที่เปล่งเสียง อีกหนึ่งความพิเศษยังอยู่ที่การเลือกใช้แซปไฟร์โปร่งใสแทนที่ทับทิมสีแดงแบบ
ดั้งเดิม เพื่อคงความโปร่งสว่าง สะอาดตา ให้ทุกองค์ประกอบของกลไกสอดคล้องกับแนวคิดร่วมสมัย


ทุกองค์ประกอบเหล่านี้ทำให้ Tambour 
Convergence แตกต่างจากนาฬิกาส่วนใหญ่ในตลาด คือการตัดสินใจไม่ใช้เข็มบอกเวลา แต่ใช้ดิสก์หมุนแสดงชั่วโมงและนาที โดยให้จุดตัดของแผ่นหมุนสองแผ่นเป็นตำแหน่งอ่านเวลาแทนได้อย่างสง่างาม ทั้งยังเป็นบทสะท้อนความกล้าของหลุยส์ วิตตองที่เลือกจะลงมือสร้างนาฬิกาด้วยสองมือของตัวเอง ตั้งแต่กลไกยันฝาหลังและดีไซน์ที่ทลายกรอบความเดิมของนาฬิกาทั่วไป

Article
  • TAMBOUR CERAMIC

ตัวเรือนทรง Tambour อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ยังคงสะท้อนความโดดเด่นภายใต้ Tambour Ceramic ในวัสดุเซรามิกสีน้ำตาลขัดเงาที่ได้แรงบันดาลใจมาจากสีอันเป็นเอกลักษณ์ของทรังก์หลุยส์ วิตตองในทศวรรษ 1980s โดยตัวเรือนมีขนาด 40 มิลลิเมตร และความหนา 8.3 มิลลิเมตร ที่ดูเพรียวบาง ขณะที่ฐานขอบตัวเรือนและขอบฝาหลังสร้างสรรค์ขึ้นจากทองคำชมพูที่แทรกอยู่ โดยมีที่มาจากลายดอกไม้ “Monogram” ที่ตกแต่งอยู่บนทรังก์ นอกจากนี้สายนาฬิกายังออกแบบใหม่ให้ประกอบเข้ากันเป็นหนึ่งเดียวแบบ “Integrated” แนบกับข้อมือ โดยไม่แย่งซีนจากตัวเรือนเวลา

 

Louis Vuitton แปรเปลี่ยนเวลาให้กลายเป็นงานศิลป์
บนเรือนเวลาที่สะท้อนวิธีคิด จังหวะชีวิต และความงามที่
ผ่านการตีความอย่างลึกซึ้งในทุกองค์ประกอบ