Vogue Thailand

WATCHES & JEWELLERY

VOGUE SCOOP | ก้าวแรกของการแข่งขันจิวเวลรีชั้นสูงระดับนานาชาติ 'Grand Prix de la Haute Joaillerie'

สรุปประเด็นน่ารู้ของงานประกวดจิวเวลรีชั้นสูง 'Grand Prix de la Haute Joaillerie' ปีที่ 1

โดย Amanda Ampornmaha
05 พฤศจิกายน 2568

     เมื่อพูดถึงเวทีระดับโลกในวงการแฟชั่น ภาพที่นึกถึงอาจเป็นรันเวย์ของแฟชั่นวีก Met Gala หรือเทศกาลหนังเมืองคานส์ แต่สำหรับโลกของเครื่องประดับชั้นสูง เวทีที่เปล่งประกายเช่นนั้นกลับหาได้ยาก กระทั่งปีนี้ที่นับเป็นก้าวสำคัญของวงการจิวเวลรีชั้นสูง ด้วยการเปิดตัวเวทีระดับนานาชาติอย่างเป็นทางการครั้งแรกในชื่อ "Grand Prix de la Haute Joaillerie" หรือเรียกสั้นๆ ว่า 'GPHJ' ณ Salle des Étoiles โมนาโก ดินแดนที่เปี่ยมไปด้วยรสนิยมอันประณีต งานนี้ไม่ได้เป็นเพียงการแข่งขันและการมอบรางวัลแด่ผู้ชนะ แต่ยังสร้างบทสนทนาให้กับคนแฟชั่นและวงการจิวเวลรีชั้นสูง ที่จะพางานหัตถศิลป์และเหล่าอัญมณีเลอค่าไปสู่ความหรูหรายุคใหม่ที่มีความหมายลึกซึ้งและทันสมัยยิ่งขึ้น

 

 

Article

ทำไมต้องเป็นที่โมนาโก?

การเลือกโมนาโกเป็นสถานที่จัดงาน 'Grand Prix de la Haute Joaillerie' ครั้งแรกนั้นไม่ใช่แค่การเลือกหมุดหมายที่สวยงามเพียงสิ่งเดียว แต่เป็นการสะท้อนตัวตนของวงการเครื่องประดับชั้นสูงที่ต้องการพื้นที่อันคู่ควรกับความประณีต ละเมียดละไม และเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ Sporting Monte-Carlo ภายใต้การดูแลของ Monte-Carlo Société des Bains de Mer สถาบันแห่ง 'The Art of Living' มาตั้งแต่ปี 1863 คือเจ้าภาพของค่ำคืนอันทรงเกียรตินี้ ณ ห้อง Salle des Étoiles สุดไอคอนิกที่ถูกเนรมิตให้กลายเป็นเวทีจัดแสดงจิวเวลรีอันยิ่งใหญ่ เปิดต้อนรับทั้งนักสะสม มิวส์ของแต่ละแบรนด์ และผู้ชมจากทั่วโลกที่หลงใหลในศิลปะการรังสรรค์อัญมณี

 

 

Article

คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

ภายใต้การนำของ 'Fabienne Reybaud' นักวิจารณ์และนักประวัติศาสตร์เครื่องประดับระดับแนวหน้าของโลก GPHJ ได้รวบรวมคณะกรรมการระดับสากลไว้ถึง 9 ท่านจากหลากหลายวงการ ตั้งแต่ 'Tristan Auer' สถาปนิกและดีไซเนอร์ชื่อดัง, 'François Curiel' ประธานของ Christie’s Europe & Asia, 'Evelyne Possémé' ภัณฑารักษ์แห่ง Musée des Arts Décoratifs แห่งปารีส ไปจนถึง 'ปิ๊ง-ชญาภา จูตระกูล' จากประเทศไทย ซึ่งเป็นทั้งนักคิด นักสร้างสรรค์ และผู้ขับเคลื่อนวงการลักชัวรีร่วมสมัย แต่ละท่านล้วนมีรสนิยมเฉียบแหลมในการวิเคราะห์ ตัดสินผลงาน ไม่ว่าจะเป็นด้านดีไซน์ งานฝีมือ หรือตัวตนของแบรนด์ที่ชัดเจน

 

 

Article

11 แบรนด์ระดับโลกเข้าร่วม

GPHJ ครั้งแรกได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากเมซงระดับโลก ทั้งรุ่นใหญ่ที่มีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์และแบรนด์ร่วมสมัยที่กล้าท้าทายขนบเดิม รายชื่อผู้เข้าร่วมได้แก่ Tiffany & Co., Chanel, Boucheron, Dior, Louis Vuitton, Chopard, Messika, Dolce & Gabbana, Bulgari, Buccellati และ Anna Hu ซึ่งต่างส่งผลงานระดับไอคอนิกเข้าร่วมแข่งขัน เพื่อประกาศความเป็นเลิศและเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนนิยามใหม่ของ Haute Joaillerie ให้มีชีวิตชีวาในศตวรรษที่ 21

 

 

Article

8 ประเภทรางวัลแห่งความเป็นเลิศ

GPHJ ไม่เพียงยกย่องความสวยงามในเชิงศิลป์ หากยังให้ความสำคัญกับกระบวนการ ความคิดสร้างสรรค์ และการเปลี่ยนผ่านของวงการอย่างรอบด้าน รางวัลทั้ง 8 ประเภทประกอบด้วย:
• Grand Prix (Best Piece of the Year): สร้อยคอ 'Sweater' จากแบรนด์ CHANEL

• Jury’s Special Prize: เครื่องประดับคอลเล็กชั่น 'Blue Book 2025' จากแบรนด์ Tiffany & Co.

• Prize for Design: สร้อยคอ 'Zebra Luhlaza' จากแบรนด์ Messika

• Heritage Prize: โช้กเกอร์ 'Jean Schlumberger Butterflies' แห่งปี 1956 จากแบรนด์ Tiffany & Co.

• Savoir-Faire Prize: สร้อยคอ 'Diorexquis Forêt Nacrée' จากแบรนด์ Dior

• Gemstone Prize: สร้อยคอ 'Apogée' จากแบรนด์ Louis Vuitton

• Prize of The Public: สร้อยคอคอลเล็กชั่น 'Sardaigne' จากแบรนด์ Dolce & Gabbana

• Best New Talent Prize: สร้อยคอ 'Lunar Eclipse' จากแบรนด์ Sahag Arslanian

นอกจากนี้ Caroline Scheufele ประธานร่วมและผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์แห่งแบรนด์ Chopard ยังได้รับรางวัล Visionary of the Year โดยผลงานที่ได้รับการเสนอชื่อเหล่านี้ต้องใช้หินมีค่าธรรมชาติทั้งหมด ผลิตระหว่างปี 2024-2025 (ยกเว้น Heritage) และมีมูลค่าขั้นต่ำ €100,000 โดยชิ้นที่ได้รับการคัดเลือกจะจัดแสดงที่โมนาโก และเปิดให้สาธารณชนร่วมโหวตผ่านแอปพลิเคชั่นอย่างโปร่งใส

 

 

Article

ผู้ชนะรางวัลใหญ่ในปีนี้

ช่วงเวลาสำคัญที่สุดของค่ำคืนคือการมอบรางวัล 'Grand Prix Best Piece of the Year' ให้แก่ Chanel Haute Joaillerie จากผลงาน 'Sweater Necklace' ที่ตีความจิตวิญญาณของ Gabrielle Chanel ผ่านสายโซ่และซิลูเอตที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเสื้อสเวตเตอร์อันเป็นซิกเนเจอร์ ด้วยวัสดุทองคำขาว แพลทินัม เพชร ออนิกซ์ และมรกต น้ำหนักรวมกว่า 37.18 กะรัต ชิ้นงานนี้สะท้อนถึงความสามารถในการหลอมรวมความแข็งแกร่งและความงามอ่อนช้อยไว้ในเส้นเดียว ถือเป็นผลงานที่ได้รับคะแนนสูงสุดจากคณะกรรมการทั้งด้านงานฝีมือ ความกลมกลืนกับดีเอ็นเอของแบรนด์ และพลังในการเล่าเรื่องราวของหญิงสาวผู้เปลี่ยนโลกด้วยเสื้อผ้าและอิสระ

 

 

Article

รางวัลเชิดชูมรดกจิวเวลรี

ในค่ำคืนที่เต็มไปด้วยแสงไฟและเพชรน้ำงาม หนึ่งในรางวัลที่น่าจดจำที่สุดคือ Heritage Prize ซึ่งมอบให้แก่ผลงานที่สร้างขึ้นก่อนปี 2020 และสะท้อนดีเอ็นเอของแบรนด์ได้อย่างลึกซึ้ง ปีนี้ Tiffany & Co. ได้รับรางวัลจาก 'Butterflies Choker' ที่ออกแบบโดย Jean Schlumberger ให้ Bunny Mellon เมื่อปี 1956 ซึ่งยังคงเป็นต้นแบบของความหรูหราเหนือกาลเวลา โดยมีแบรนด์อื่นๆ อย่าง Anna Hu, Boucheron, Chanel, Chopard และ Dolce & Gabbana ที่ต่างเข้าชิงในการประกวดนี้เช่นกัน

 

 

Article

ก้าวสู่อนาคตของจิวเวลรีชั้นสูง

GPHJ ไม่เพียงเป็นเวทีของแบรนด์ระดับตำนาน แต่ยังเป็นพื้นที่สำหรับ นักออกแบบรุ่นใหม่ และ ช่างฝีมือเบื้องหลัง รางวัล Best New Talent Prize ที่แบรนด์นักออกแบบหน้าใหม่อย่าง Sahag Arslanian กับผลงานสร้อยคอ 'Lunar Eclipse' ตัวเรือนทองประดับเพชรสีเหลืองแฟนซี 15.59 กะรัต รายล้อมด้วยพลอยสีขาวอีก 1,078 เม็ด ได้สะท้อนความมุ่งมั่นในการถ่ายทอดความรู้ ความเชี่ยวชาญ และแนวทางใหม่ที่ยกระดับวงการจิวเวลรีชั้นสูงให้เท่าทันโลก พร้อมส่งผ่านเรื่องราว ความโปร่งใส และตัวตนที่แท้จริงของผู้สร้างสรรค์ไปยังผู้สวมใส่

 

 

Article

(สามารถอ่านเรื่อง VOGUE SCOOP | สรุปรวบยอดเดือนแห่งความคึกคักที่เริ่มตั้งแต่แฟชั่นวีกระดับโลกจนถึงประเทศไทย ได้ที่นี่)

VOGUE SCOOP | ก้าวแรกของการแข่งขันจิวเวลรีชั้นสูงระดับนานาชาติ 'Grand Prix de la Haute Joaillerie'