เมื่อพูดถึงเวทีระดับโลกในวงการแฟชั่น ภาพที่นึกถึงอาจเป็นรันเวย์ของแฟชั่นวีก Met Gala หรือเทศกาลหนังเมืองคานส์ แต่สำหรับโลกของเครื่องประดับชั้นสูง เวทีที่เปล่งประกายเช่นนั้นกลับหาได้ยาก กระทั่งปีนี้ที่นับเป็นก้าวสำคัญของวงการจิวเวลรีชั้นสูง ด้วยการเปิดตัวเวทีระดับนานาชาติอย่างเป็นทางการครั้งแรกในชื่อ "Grand Prix de la Haute Joaillerie" หรือเรียกสั้นๆ ว่า 'GPHJ' ณ Salle des Étoiles โมนาโก ดินแดนที่เปี่ยมไปด้วยรสนิยมอันประณีต งานนี้ไม่ได้เป็นเพียงการแข่งขันและการมอบรางวัลแด่ผู้ชนะ แต่ยังสร้างบทสนทนาให้กับคนแฟชั่นและวงการจิวเวลรีชั้นสูง ที่จะพางานหัตถศิลป์และเหล่าอัญมณีเลอค่าไปสู่ความหรูหรายุคใหม่ที่มีความหมายลึกซึ้งและทันสมัยยิ่งขึ้น

ทำไมต้องเป็นที่โมนาโก?
การเลือกโมนาโกเป็นสถานที่จัดงาน 'Grand Prix de la Haute Joaillerie' ครั้งแรกนั้นไม่ใช่แค่การเลือกหมุดหมายที่สวยงามเพียงสิ่งเดียว แต่เป็นการสะท้อนตัวตนของวงการเครื่องประดับชั้นสูงที่ต้องการพื้นที่อันคู่ควรกับความประณีต ละเมียดละไม และเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ Sporting Monte-Carlo ภายใต้การดูแลของ Monte-Carlo Société des Bains de Mer สถาบันแห่ง 'The Art of Living' มาตั้งแต่ปี 1863 คือเจ้าภาพของค่ำคืนอันทรงเกียรตินี้ ณ ห้อง Salle des Étoiles สุดไอคอนิกที่ถูกเนรมิตให้กลายเป็นเวทีจัดแสดงจิวเวลรีอันยิ่งใหญ่ เปิดต้อนรับทั้งนักสะสม มิวส์ของแต่ละแบรนด์ และผู้ชมจากทั่วโลกที่หลงใหลในศิลปะการรังสรรค์อัญมณี

คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ภายใต้การนำของ 'Fabienne Reybaud' นักวิจารณ์และนักประวัติศาสตร์เครื่องประดับระดับแนวหน้าของโลก GPHJ ได้รวบรวมคณะกรรมการระดับสากลไว้ถึง 9 ท่านจากหลากหลายวงการ ตั้งแต่ 'Tristan Auer' สถาปนิกและดีไซเนอร์ชื่อดัง, 'François Curiel' ประธานของ Christie’s Europe & Asia, 'Evelyne Possémé' ภัณฑารักษ์แห่ง Musée des Arts Décoratifs แห่งปารีส ไปจนถึง 'ปิ๊ง-ชญาภา จูตระกูล' จากประเทศไทย ซึ่งเป็นทั้งนักคิด นักสร้างสรรค์ และผู้ขับเคลื่อนวงการลักชัวรีร่วมสมัย แต่ละท่านล้วนมีรสนิยมเฉียบแหลมในการวิเคราะห์ ตัดสินผลงาน ไม่ว่าจะเป็นด้านดีไซน์ งานฝีมือ หรือตัวตนของแบรนด์ที่ชัดเจน

11 แบรนด์ระดับโลกเข้าร่วม
GPHJ ครั้งแรกได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากเมซงระดับโลก ทั้งรุ่นใหญ่ที่มีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์และแบรนด์ร่วมสมัยที่กล้าท้าทายขนบเดิม รายชื่อผู้เข้าร่วมได้แก่ Tiffany & Co., Chanel, Boucheron, Dior, Louis Vuitton, Chopard, Messika, Dolce & Gabbana, Bulgari, Buccellati และ Anna Hu ซึ่งต่างส่งผลงานระดับไอคอนิกเข้าร่วมแข่งขัน เพื่อประกาศความเป็นเลิศและเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนนิยามใหม่ของ Haute Joaillerie ให้มีชีวิตชีวาในศตวรรษที่ 21

8 ประเภทรางวัลแห่งความเป็นเลิศ
GPHJ ไม่เพียงยกย่องความสวยงามในเชิงศิลป์ หากยังให้ความสำคัญกับกระบวนการ ความคิดสร้างสรรค์ และการเปลี่ยนผ่านของวงการอย่างรอบด้าน รางวัลทั้ง 8 ประเภทประกอบด้วย:
• Grand Prix (Best Piece of the Year): สร้อยคอ 'Sweater' จากแบรนด์ CHANEL
• Jury’s Special Prize: เครื่องประดับคอลเล็กชั่น 'Blue Book 2025' จากแบรนด์ Tiffany & Co.
• Prize for Design: สร้อยคอ 'Zebra Luhlaza' จากแบรนด์ Messika
• Heritage Prize: โช้กเกอร์ 'Jean Schlumberger Butterflies' แห่งปี 1956 จากแบรนด์ Tiffany & Co.
• Savoir-Faire Prize: สร้อยคอ 'Diorexquis Forêt Nacrée' จากแบรนด์ Dior
• Gemstone Prize: สร้อยคอ 'Apogée' จากแบรนด์ Louis Vuitton
• Prize of The Public: สร้อยคอคอลเล็กชั่น 'Sardaigne' จากแบรนด์ Dolce & Gabbana
• Best New Talent Prize: สร้อยคอ 'Lunar Eclipse' จากแบรนด์ Sahag Arslanian
นอกจากนี้ Caroline Scheufele ประธานร่วมและผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์แห่งแบรนด์ Chopard ยังได้รับรางวัล Visionary of the Year โดยผลงานที่ได้รับการเสนอชื่อเหล่านี้ต้องใช้หินมีค่าธรรมชาติทั้งหมด ผลิตระหว่างปี 2024-2025 (ยกเว้น Heritage) และมีมูลค่าขั้นต่ำ €100,000 โดยชิ้นที่ได้รับการคัดเลือกจะจัดแสดงที่โมนาโก และเปิดให้สาธารณชนร่วมโหวตผ่านแอปพลิเคชั่นอย่างโปร่งใส

ผู้ชนะรางวัลใหญ่ในปีนี้
ช่วงเวลาสำคัญที่สุดของค่ำคืนคือการมอบรางวัล 'Grand Prix Best Piece of the Year' ให้แก่ Chanel Haute Joaillerie จากผลงาน 'Sweater Necklace' ที่ตีความจิตวิญญาณของ Gabrielle Chanel ผ่านสายโซ่และซิลูเอตที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเสื้อสเวตเตอร์อันเป็นซิกเนเจอร์ ด้วยวัสดุทองคำขาว แพลทินัม เพชร ออนิกซ์ และมรกต น้ำหนักรวมกว่า 37.18 กะรัต ชิ้นงานนี้สะท้อนถึงความสามารถในการหลอมรวมความแข็งแกร่งและความงามอ่อนช้อยไว้ในเส้นเดียว ถือเป็นผลงานที่ได้รับคะแนนสูงสุดจากคณะกรรมการทั้งด้านงานฝีมือ ความกลมกลืนกับดีเอ็นเอของแบรนด์ และพลังในการเล่าเรื่องราวของหญิงสาวผู้เปลี่ยนโลกด้วยเสื้อผ้าและอิสระ

รางวัลเชิดชูมรดกจิวเวลรี
ในค่ำคืนที่เต็มไปด้วยแสงไฟและเพชรน้ำงาม หนึ่งในรางวัลที่น่าจดจำที่สุดคือ Heritage Prize ซึ่งมอบให้แก่ผลงานที่สร้างขึ้นก่อนปี 2020 และสะท้อนดีเอ็นเอของแบรนด์ได้อย่างลึกซึ้ง ปีนี้ Tiffany & Co. ได้รับรางวัลจาก 'Butterflies Choker' ที่ออกแบบโดย Jean Schlumberger ให้ Bunny Mellon เมื่อปี 1956 ซึ่งยังคงเป็นต้นแบบของความหรูหราเหนือกาลเวลา โดยมีแบรนด์อื่นๆ อย่าง Anna Hu, Boucheron, Chanel, Chopard และ Dolce & Gabbana ที่ต่างเข้าชิงในการประกวดนี้เช่นกัน

ก้าวสู่อนาคตของจิวเวลรีชั้นสูง
GPHJ ไม่เพียงเป็นเวทีของแบรนด์ระดับตำนาน แต่ยังเป็นพื้นที่สำหรับ นักออกแบบรุ่นใหม่ และ ช่างฝีมือเบื้องหลัง รางวัล Best New Talent Prize ที่แบรนด์นักออกแบบหน้าใหม่อย่าง Sahag Arslanian กับผลงานสร้อยคอ 'Lunar Eclipse' ตัวเรือนทองประดับเพชรสีเหลืองแฟนซี 15.59 กะรัต รายล้อมด้วยพลอยสีขาวอีก 1,078 เม็ด ได้สะท้อนความมุ่งมั่นในการถ่ายทอดความรู้ ความเชี่ยวชาญ และแนวทางใหม่ที่ยกระดับวงการจิวเวลรีชั้นสูงให้เท่าทันโลก พร้อมส่งผ่านเรื่องราว ความโปร่งใส และตัวตนที่แท้จริงของผู้สร้างสรรค์ไปยังผู้สวมใส่


Dior คว้ารางวัล! ความเป็นเลิศด้านงานฝีมือจากงาน 'Grand Prix de la Haute Joaillerie'

Louis Vuitton คว้ารางวัล! สุดยอดอัญมณีจากงาน 'Grand Prix de la Haute Joaillerie of Monaco'

CHANEL คว้ารางวัล! เครื่องประดับชั้นสูงยอดเยี่ยมจากงาน 'Grand Prix de la Haute Joaillerie'

Tiffany & Co. เผยโฉมแคมเปญ 'Love is a gift' ถ่ายทอดโดย Anya Taylor-Joy

