โว้กเคยปล่อยทีเซอร์เปิดเรื่องและต้นกำเนิดของซูส เลเซตวลส์ คอลเล็กชั่นจิวเวลรีชั้นสูงประจำปี 2021 จากแวน คลีฟ แอนด์ อาร์เปลส์ไปแล้ว และเนื่องจากเป็นคอลเล็กชั่นที่ซับซ้อนมากรายละเอียด เหมือนรวมวิชาเวทมนตร์กับวิทยาศาสตร์เข้าด้วยกัน คราวนี้เราเลยจะมาเจาะรายละเอียดชิ้นเด่นประจำคอลเล็กชั่นแบบชิ้นต่อชิ้นว่ามีความเชื่อมโยงอย่างไรกับแรงบันดาลใจหลักของซูส เลเซตวลส์ ซึ่งรังสรรค์มาจากแนวคิดตั้งต้นของนิยายไซไฟโดย Jules Verne ที่มีทั้งบทความทางวิทยาศาสตร์และภาพประกอบจากหนังสือ Astronomie Populaire โดย Camille Flammarion งานเขียนของ Lucian of Samosata จากสมัยเมโสโปเตเมีย รวมไปถึงบทความ The Dream, or Posthumous Work on Lunar Astronomy โดย Johannes Kepler

เข็มกลัดเทพธิดา Fée Cassiopée

 

จุดเด่นของคอลเล็กชั่นนี้คือการอ้างอิงหมู่ดาวอินดี้ที่ไม่ได้อยู่ในกระแสมาเป็นแรงบันดาลใจ นำมาประกอบกับกลุ่มดาวที่เรารู้จักกันดีอยู่แล้วคือดวงอาทิตย์ โลก ดาวเสาร์ ดวงจันทร์ ซึ่งถือเป็นฐานทัพแรกแห่งการผจญภัยครั้งนี้ แน่นอนว่าจุดเริ่มต้นอันยิ่งใหญ่เกิดขึ้นที่ดวงอาทิตย์ศูนย์กลางจักรวาล จิวเวลรีชิ้นไฮไลต์ตัวแรกของเมซงจึงชื่อว่า Hélios ซึ่งเป็นชื่อของสุริยเทพตามตำรากรีกโบราณ โดยมาในรูปสร้อยคอตัวเรือนทองคำและทองคำขาวประดับมุกและเพชร พร้อมจี้ห้อยที่ตรงกลางโดดเด่นด้วยพู่มุกระย้าและไพลินสีเหลืองสดเฉดบัตเตอร์คัป น้ำหนักกว่า 50 กะรัต สื่อถึงความสว่างสดใสของดวงอาทิตย์ ที่เก๋ไปกว่านั้นคือตัวสร้อยสามารถดัดแปลงเป็นมงกุฎได้ด้วย

มงกุฎที่ดัดแปลงจากสร้อยคอ Hélios

 

จุดหมายต่อไปคือการเดินทางผ่านความไวแสงของดาวหางฮัลเลย์ เมซงได้รังสรรค์สร้อยคอ Halley ด้วยเพชรแผงใหญ่ประดับประดาเพชรสีเหลือง 11.19 กะรัต ซึ่งเป็นตัวแทนส่วนหัวของดาวหางในขณะที่ไฟกำลังลุกโชติช่วง สามารถถอดไปประกอบเป็นแหวนได้ ราวกับนักออกแบบจะทราบดีว่าการเดินทางสู่ห้วงอวกาศครั้งนี้ทุกคนต้องการเห็นแรงบันดาลใจที่ต่างไปจากเดิม เมซงจึงเดินทางไกลไปหลายพันปีแสงเพื่อพาเราไปพบดวงดาวใหม่ๆ ดังเช่นการกำเนิดของสร้อยคอ Boucle Cosmique ที่สร้างจากกลุ่มเนบิวลาเรืองแสงในชื่อหมวกของเทพเจ้าทอร์ โดยเลียนแบบประกายเรืองแสงสีน้ำเงินเหลือบเขียวด้วยอัญมณีอย่างโกเมนและไพลิน โดยใช้เทคนิคฝังซ่อนหนามเตยแบบ Mystery set พร้อมกับรูปทรงริบบิ้นอันเป็นเอกลักษณ์ที่ล้อไปกับกลุ่มหมอกอวกาศที่ดูเหมือนแก้วเป่าลมจนพอง และสร้อยคอ Trésor Astral ที่รับแรงบันดาลใจมาจากคู่ดาวฤกษ์อัลคอร์และมิซาร์ที่อยู่ในกลุ่มดาวหมีใหญ่ สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ตัวสร้อยจึงจัดเรียงไพลินคู่เม็ดเด่นแบบอสมมาตรเพื่อเป็นตัวแทนดวงดาวทั้งสอง

สร้อยคอ Céphéide

 

เซตสร้อยคอและตุ้มหู Céphéide คืออีกหนึ่งผลงานหาดูยาก ด้วยโทนสีแสนพิเศษของคาลซิโดนีสีม่วงอ่อน 159 กะรัต ประดับด้วยแทนซาไนต์ไล่เฉดสี ไพลินสีม่วง และโกเมนสีเขียว ดูละมุนสบายตาเหมือนระดับความสว่างที่ไม่คงที่ของกลุ่มดาวแปรแสง ส่วนสร้อยคอ Antennae สุดอลังการที่สวมกลับด้านได้ ใช้อัญมณีจำนวน 154 เม็ดมาร้อยเรียงตามคอนเซปต์ของเหตุการณ์เคลื่อนตัวพุ่งปะทะกันของ 2 กาแล็กซีที่เต็มไปด้วยฝุ่นอวกาศ ละอองก๊าซ และดาวฤกษ์ จนเกิดเป็นดาราจักรหนวดแมลงขึ้น นอกจากนี้ยังมีปลอกกำไลทับทิม Ison ที่ได้ไอเดียมาจากดาวหางไอซอน สร้อยคอมรกตประดับไพลินสไตล์ฟิวเจอริสติกในชื่อ Nuée d’émeraude ที่นำสีสันของลูกไฟสีเขียวหางสีน้ำเงินของดาว 41P ในขณะที่กำลังพุ่งทะยานผ่านโลกมนุษย์มาถ่ายทอดผ่านอัญมณี และดาวหางความเร็วสูง Iwamoto ที่นำมารังสรรค์เป็นแหวนไพลินประดับมรกต

กำไลข้อมือ Sentier d’étoiles

 

แต่ชิ้นที่โว้กชื่นชมในจินตนาการสุดบรรเจิดที่สุดคือแผงสร้อยคอลาพิสลาซูลีประดับเพชรในชื่อ Ciel de minuit ที่รังสรรค์มาจากความสวยงามของทางช้างเผือก มีการฝังเพชรและไพลินลงบนแผ่นลาพิสลาซูลี พร้อมกับโชว์หมู่ดาวเล็กจิ๋วที่ทำจากเพชรและไพลินลอยอยู่บริเวณข้างๆ ทำให้นึกถึงละอองดาวที่กระจายตัวอยู่ในห้วงอวกาศบนทางช้างเผือก ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากปราศจากทักษะอันเป็นเลิศของช่างฝีมือชั้นสูงจากเมซง 

เข็มกลัดเทพธิดา Déesse Neptune

 

ปิดท้ายตามธรรมเนียมสุดแฟนตาซีของแบรนด์ด้วยเหล่าเทพธิดาและนางฟ้าตัวน้อยในรูปแบบของเข็มกลัด (ที่กลายเป็นของสะสมระดับโลก) แต่ทว่าคราวนี้พวกเธอมาในฐานะผู้ปกป้องดวงดาวอันไกลโพ้น ประกอบด้วย Déesse Mercure เทพีอารักษ์แห่งดาวพุธ ถือโอปอลสีขาวมุกในมือกว่า 5 กะรัต แทนอีกซีกของดาวพุธที่เย็นยะเยือกดุจธารน้ำแข็ง Déesse Neptune เทพธิดาแห่งดาวเกตุหรือดาวเนปจูน ในท่าเต้นรำโดยโอบกอดลาพิสลาซูลีที่เป็นตัวแทนของดาวเกตุไว้ในอ้อมแขน และ Fée Cassiopée เทพธิดาแห่งหมู่ดาวค้างคาวแคสสิโอเปีย ตั้งชื่อตามนางแคสสิโอเปียในตำนานกรีกโบราณ

สร้อยคอ Antennae

 

ทัวร์อวกาศคราวนี้ของแวน คลีฟ แอนด์ อาร์เปลส์ถือว่ายิ่งใหญ่อลังการสมการรอคอย ซึ่งคงมีเมซงจิวเวลรีไม่มากนักที่สามารถมอบประสบการณ์สุดพิเศษได้เช่นนี้ ทำให้เรารู้สึกเหมือนหลุดไปสู่อีกโลกหนึ่งเพียงแค่จ้องมองไปที่อัญมณีสวยงามเหล่านั้น