แฟชั่นวีกฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน 2026 ที่ผ่านมา 'จิวเวลรี' ได้กลายเป็นตัวละครสำคัญที่สะท้อนทิศทางใหม่ของวงการแฟชั่นอย่างชัดเจน โว้กประเทศไทยจึงคัดสรรและเรียบเรียงภาพรวมของ “The New It Jewelry Trends” จากรันเวย์เมืองแฟชั่นทั้ง ปารีส มิลาน และนิวยอร์ก เพื่อนำเสนอจิวเวลรีที่ไม่เพียงแค่ตกแต่งลุคแต่บอกเล่าถึงศิลปะอันประณีตที่ถ่ายทอดความรู้สึกและจุดยืนของนักออกแบบในโลกปัจจุบัน ตั้งแต่สร้อยคอของ Chanel ที่รวบรวมดวงดาวในจักรวาลไว้ในชิ้นเดียว, Maison Margiela กับจิวเวลรีที่ริมฝีปาก 'Four-Stitched Mouthpiece' ที่สะท้อนภาพการจำกัดเสียงและการยิ้มอย่างฝืนทน ไปจนถึงต่างหูระย้าขนาดโอเวอร์ไซส์ของ Saint Laurent ทุกแบรนด์ต่างถ่ายทอดจังหวะของตัวเองออกมาอย่างทรงพลัง นี่คือบทสรุปเทรนด์จิวเวลรีที่เราอาจได้พบเห็นผู้คนและเซเลบริตี้สวมใส่อีกในอนาคต
เริ่มที่ Chanel ที่ Matthieu Blazy หยิบแรงบันดาลใจจากเวลาและจักรวาล ถ่ายทอดผ่านไข่มุกบาร็อค ลูกโลกแก้ว และโซ่เคลือบ ให้ความรู้สึกเหมือนอัญมณีที่เคยผ่านกาลเวลาและยังคงสวยงาม ขณะเดียวกัน Maison Margiela นำเสนอจิวเวลรีที่ไร้ซึ่งคำว่าประดับ หากแต่แฝงนัยเชิงสัญลักษณ์ เช่น 'Four-Stitched Mouthpiece' ซึ่งสะท้อนภาพการจำกัดเสียงและการยิ้มอย่างฝืนทน ทั้งหมดนี้เผยให้เห็นศักยภาพของเครื่องประดับในฐานะภาษาที่ไม่ต้องพูดแต่ทรงพลังอย่างยิ่ง
ทางฝั่งของ Valentino ภายใต้ Alessandro Michele เครื่องประดับกลายเป็นจุดกึ่งกลางระหว่างจินตนาการและการปลดปล่อย ในธีม "Fireflies" เราได้เห็นต่างหูโลหะลายผีเสื้อและตารูปทรงแปลกตา เปล่งประกายระยิบคล้ายแมลงเรืองแสงในยามค่ำคืน พร้อมสร้อยระย้าขนาดใหญ่ที่เคลื่อนไหวไปกับแสงไฟรอบโชว์ ขณะที่ Saint Laurent เลือกใช้ต่างหูโอเวอร์ไซส์ดีไซน์สถาปัตย์ เพื่อเสริมความเฉียบคมแบบปารีเซียงในยุคอุตสาหกรรม Givenchy ในทางกลับกัน หยิบเอาจิวเวลรีมาแทนที่เสื้อผ้าแทบทั้งชุด โดยเฉพาะสร้อยคอและต่างหูที่แสดงตัวตนผ่านมวลของโลหะและความโอ่อ่า
ในกลุ่มแบรนด์ที่ตีความวัสดุและผิวสัมผัสได้อย่างน่าทึ่ง Dior โดดเด่นด้วยกำไลคัฟฟ์ลายหินอ่อนเฉดสีฟ้า ประดับเพชรหรืออัญมณีแวววาว Balenciaga ยังคงทลายกรอบความคิดเดิมๆ ด้วยการนำจิวเวลรีมาประดับปลายเท้า แหวนสวมระหว่างนิ้วเท้า และตุ้มหูเพชรเม็ดโตตอกย้ำภาษาของ 'anti-beauty' อันเป็นซิกเนเจอร์ของแบรนด์ Balmain ปฏิเสธการเล่นกับความแวววาวตามแบบฉบับ หันมาใช้ลูกปัดไม้ทรงเรขาคณิต ผสมกับกำไลลายผ้าและกำไลคัฟฟ์ที่สะท้อนแรงบันดาลใจจากงานคราฟต์ Bottega Veneta เลือก 'ความใส' มาเป็นนิยามใหม่ของประกาย โดยจับคู่ไวต์โกลด์กับโปร่งแสงในจิวเวลรีที่เบาแต่สง่างาม ส่วน Fendi เติมชีวิตให้โลหะเยลโลว์โกลด์ด้วยการถักหนังและเคลือบสีแบบอสมมาตร เป็นการนำเสนอจิวเวลรีในฐานะวัสดุผสมที่เปี่ยมด้วยจินตนาการ
Louis Vuitton คงความชัดเจนด้านโครงสร้าง นำทรงลูกบาศก์มาใช้เป็นแกนหลักของสร้อย ต่างหู และกำไล ให้ความรู้สึกของสถาปัตยกรรมพกพา ขณะที่ Gucci พาเรากลับสู่ความสนุกของการสไตลิ่ง สร้างลุคด้วยต่างหูหลากทรงและสร้อยชาร์มเหมือนเป็นของของนักสะสม Chloé โดดเด่นอย่างสง่างามในจิวเวลรีที่นุ่มนวลแต่ทรงพลัง โดยเฉพาะตุ้มหูสีครีมทรงใหญ่ซึ่งทำหน้าที่เสมือน 'จุดสงบของสายตา' เพื่อให้สมดุลกับเดรสลายดอกสีสด อีกทั้งกำไลเยลโลว์โกลด์ที่รับกับผิวโทนอุ่นของโชว์ได้อย่างงดงาม Prada แม้ว่าจะได้ได้ปรากฏจิวเวลรีให้ได้ชมในครั้งนี้มากนัก แต่ต่างหูเพชรและอัญมณีเจียระไนทรงสามเหลี่ยมซิกเนเจอร์ของแบรนด์ได้สื่อสารอย่างเงียบๆ แต่ทรงพลัง ส่วน Jean Paul Gaultier รังสรรค์จิวเวลรีเนื้อไม้สีเข้มให้เลื้อยโอบร่างกาย พร้อมประดับไปด้วยอัญมณีเม็ดโตสีเขียวที่จับตาทุกแสงสะท้อน
สุดท้ายคือกลุ่มที่พูดกับธรรมชาติในเสียงอันนุ่มนวล Hermès นำแรงบันดาลใจจากทะเลผ่าน Maillon line โดยใช้โซ่ Chaine d’Ancre มาออกแบบจิวเวลรีไวต์โกลด์เรียบหรู ซึ่งสามารถเลเยอร์กับผ้าพันคอของแบรนด์ได้อย่างงามสง่า Tory Burch นำเปลือกหอยให้กลายเป็นสร้อยและต่างหูแบบวินเทจที่มีกลิ่นอายเรโทรแบบริมทะเล Moschino สร้างกำไลคัฟฟ์จากตัว M ด้วยเส้นสายโค้งอย่างเรียบง่ายแต่จดจำได้ทันที และ Isabel Marant ทิ้งท้ายด้วยจิวเวลรีสไตล์โบฮีเมียนที่สานทอจากลูกปัด หินสี หนัง และเครื่องราง




















