โว้กร่วมเปิดประสบการณ์และเรียนรู้ไปกับ Van Cleef & Arpels ผู้ชวนมาเปิดโลกแห่งอัญมณีผ่านบทสนทนา "Fascinating Diamonds" ร่วมกับ L’ÉCOLE, School of Jewelry Arts โรงเรียนศิลปะเครื่องประดับอัญมณีชั้นสูง ภายใต้การสนับสนุนจาก Van Cleef & Arpels ณ โรงแรม Siam Kempinski Bangkok ภายในงานได้รับเกียรติจากสองผู้เชี่ยวชาญด้านอัญมณีระดับนานาชาติ ได้แก่ 'Olivier Segura' นักอัญมณีศาสตร์ และกรรมการผู้จัดการ L’ÉCOLE Asia Pacific และ 'E. Billie Hughes' นักอัญมณีศาสตร์และผู้ร่วมก่อตั้ง Lotus Gemology ประเทศไทย ทั้งสองได้ร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ในวงการอัญมณี ผ่านบทสนทนาเชิงลึกที่เผยให้เห็นถึงเสน่ห์อันน่าหลงใหลของเพชรในแต่ละยุคสมัยอย่างงดงามและทรงคุณค่า อีกทั้งโว้กยังได้พูดคุยสัมภาษณ์ 'Olivier Segura' อย่างใกล้ชิดถึงวิสัยทัศน์ในการสืบสารความรู้และประสบการณ์ไปจนถึงพูดคุยถึงแนวโน้วเทรนด์ของจิวเวลรีชั้นสูงว่าจะเติบโตไปในทิศทางใด

Vogue: L’ÉCOLE, School of Jewelry Arts ถือกำเนิดขึ้นจากแนวคิดแบบใด?
Olivier Segura: L’ÉCOLE, School of Jewelry Arts ก่อตั้งขึ้นในปี 2012 โดย Van Cleef & Arpels ด้วยแนวคิดที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง เมื่อคุณรักในสิ่งใดอย่างแท้จริง คุณย่อมอยากแบ่งปันมันกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อน หรือสาธารณชน แต่ด้วยความที่เวิร์กช็อปของเมซงเป็นพื้นที่เฉพาะยากแก่การเข้าถึง L’ÉCOLE จึงถูกออกแบบขึ้นให้เป็นพื้นที่เปิดที่สมบูรณ์แบบ เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับอัญมณีแก่คนทั่วไป ไม่จำกัดเพียงเรื่องราวของ Van Cleef & Arpels เท่านั้น แต่รวมถึงความรู้ในวงกว้างเกี่ยวกับเครื่องประดับและศิลปะอัญมณีทั้งหมด หากเป็นสิ่งที่สนใจสำหรับวงการเครื่องประดับ สิ่งนั้นก็มีคุณค่าสำหรับ L’ÉCOLE เช่นกัน

V: ทางสถาบันเคยมีความร่วมมือกับองค์กรใดบ้างในระดับนานาชาติ?
O: หนึ่งในตัวอย่างที่น่าสนใจคือการร่วมงานกับ Amazon โดย L’ÉCOLE ได้ออกแบบโปรแกรมอบรมภายในสำหรับทีมงานของ Amazon เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับอัญมณีศาสตร์ นอกจากนี้ เรายังเปิดโอกาสให้ลูกค้าขององค์กรเหล่านี้เข้าร่วมคอร์สอบรมและนิทรรศการต่างๆ ของเรา ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ช่วยให้ผู้คนได้เข้าใจโลกของเครื่องประดับอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น

V: แล้วในฝั่งเอเชียแปซิฟิก มีแผนการขยายหรือไม่?
O: เรามีศูนย์ปฏิบัติการประจำอยู่ที่ฮ่องกง และจากจุดนั้นเราตั้งใจขยายกิจกรรมไปยังประเทศต่างๆ ทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เช่น ออสเตรเลีย เกาหลี และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีเป้าหมายเพื่อเผยแพร่ความรู้ด้านอัญมณีให้เข้าถึงคนหมู่มาก ทั้งผ่านนิทรรศการ การบรรยาย และคอร์สอบรม นอกจากนี้ เรายังลงทุนในโครงการวิจัยใหม่ๆ อาทิ การสนับสนุนวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกด้านประวัติศาสตร์ศิลปะอัญมณี ร่วมกับมหาวิทยาลัยในฮ่องกง และกำลังพัฒนาเนื้อหาสำหรับตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เครื่องประดับในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งถือเป็นทิศทางใหม่และน่าตื่นเต้นของ L’ÉCOLE

V: ในมุมมองของคุณ มีเทรนด์เครื่องประดับอะไรที่น่าสนใจในช่วงนี้บ้าง?
O: คำว่า 'เทรนด์' อาจไม่ใช่คำที่ใช้บ่อยในโลกของอัญมณีชั้นสูง เพราะไม่เหมือนกับแฟชั่นที่เปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล แต่หากมองในระยะยาว จะพบพัฒนาการที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในเรื่องของการเลือกใช้อัญมณี ในอดีตเครื่องประดับระดับสูงมักจำกัดอยู่แค่เพชร ไพลิน และทับทิม แต่ปัจจุบันเราเห็นการใช้อัญมณีอย่างโกเมน เทอร์มาลีน อะความารีน หรือโทพาซ มากขึ้นในผลงานระดับไฮจิวเวลรี สิ่งเหล่านี้ไม่เคยมีบทบาทมากนักเมื่อ 30-50 ปีก่อน แต่วันนี้กลับถูกนำเสนอในรูปแบบที่สง่างามและซับซ้อน ดังนั้นจึงเหมือนเป็นการขยายขอบเขตของความงามและคุณค่าในงานจิวเวลรีได้อย่างน่าทึ่ง
ดูโพสต์นี้บน Instagram

จาก ‘Fleurette’ สู่ ‘Lady Féerie’ เมื่อดวงจันทร์กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ Van Cleef & Arpels

Van Cleef & Arpels ปลุกดีไซน์ 'Fleurette' สร้างไฮจิวเวลรีรุ่นใหม่ 'Snowflake' และ 'Flowerlace'

โชว์ความสนุกขี้เล่นใน 'Perlée' จิวเวลรีลูกปัดทองดีไซน์ไอคอนิกจาก Van Cleef & Arpels
.webp)
Van Cleef & Arpels เปิดตัวคอลเล็กชั่น 'Flowerlace' จรัสประกายความงามจากพรรณพฤกษ์

