ย้อนเวลาไปกับภาพนี้ของนางเอกสาว "คิมเบอร์ลี่ แอน โวลเทมัส" นางแบบ Cover Girl ของโว้กประเทศไทย ก่อนจะมาเป็นนางเอกแถวหน้าและเฟรนด์ของแบรนด์จิวเวลรีระดับโลกในวันนี้ เด็กหญิงคิมเบอร์ลี่มีชีวิตในวัยเด็กแบบไหน...

 

V: จำได้ไหมว่าถ่ายภาพนี้ตอนไหน

K: ภาพนี้คิมถ่ายกับโมเดลลิ่งเพื่อที่จะเอารูปไปประกอบการแคสติ้งค่ะ ตอนนั้นอายุ 12 ขวบ เลยตัดสินใจใส่สร้อยที่คุณพ่อให้ จำได้ว่าตอนนั้นใส่สร้อยเส้นนี้ตลอด ไม่ถอดเลย

 

V: เรื่องราวของสร้อยที่คิมสวมในภาพ

K: เอาจริงๆ คิมจำไม่ได้เป๊ะๆ ว่าพ่อให้มาตอนไหน แต่จำได้คร่าวๆ ว่าเป็นช่วงประมาณ 10-11 ขวบ พ่อบอกว่าสร้อยเส้นนี้ Cartier เลยนะ ซึ่งเป็นแบรนด์ที่เราเห็นประจำเพราะพ่อใส่ตลอด เราโตมากับการเห็นพ่อใส่กรอบแว่นตาของ Cartier

V: เด็กหญิงคิมเบอร์ลี่ซนไหม

K: ตอนเด็กๆ คิมเป็นเด็กที่ค่อนข้างอยู่ในกรอบ เชื่อฟังพ่อ ไม่กล้าทำอะไรแผลงๆ เหมือนที่พี่สาวและพี่ชายทำ ไม่ค่อยกล้าแสดงออก และไม่ค่อยมีเพื่อนด้วยค่ะ ก็จะเล่นกับพี่ๆ มากกว่า ตอนเด็กๆ คิมมีพี่ๆ เป็นเพื่อนที่สนิทที่สุด

 

V: วีรกรรมที่นึกทีไรก็ยิ้มทุกที

K: คิมนึกถึงเวลาที่เราบังคับให้พี่ชายมาเล่นด้วยค่ะ ทั้งสองคนเลย จำได้เลยตอนนั้นเราไปบังคับให้แดนมาเล่นบาร์บี้กับเรา เล่นแต่งหน้าทาเล็บกับเรา พอนึกย้อนกลับไปมันก็น่ารักดี เขาเป็นเด็กผู้ชาย เขาควรจะได้ไปเล่นเตะบอลตามประสาเด็กผู้ชาย แต่เขาก็ยังใจดีนึกถึงน้องคนนี้ 

ความสนิทสนมของคิมเบอร์ลี่กับคุณพ่อ

คุณพ่อกับคุณแม่คิมหย่ากันตั้งแต่คิมอายุ 9 ขวบ หลังจากนั้นคิมก็อยู่กับคุณพ่อมาโดยตลอด คุณพ่อเป็นคนที่ดูแลลูกๆ ทั้ง 4 คนด้วยตัวเอง เราเลยสนิทกันมาก พ่อเป็นทั้งพี่สาว แม่ พาร์ทเนอร์ เพื่อน เป็นทุกอย่าง เราคุยกับพ่อได้หมดทุกเรื่อง คิมกับพ่อเหมือนเป็นเพื่อนสนิทกันเลย

ความรู้สึกที่ได้สวม Cartier ในตอนนั้น

รู้สึกภูมิใจมากค่ะ ตอนแรกๆ โดนพี่สาว (เจนนี่) ล้อว่า “Really? Isn’t it too old?” แต่ในความรู้สึกเราคือสร้อยเส้นนั้นมันมีค่ามาก เพราะพ่อบอกว่ามันคือ Cartier เลยนะ กลับกันเราเลยรู้สึกภูมิใจด้วยซ้ำ เพราะตอนนั้นพี่สาวไม่ได้ ก็เลยไม่รู้ว่านางอิจฉาหรือเปล่า เลยมาล้อเรา (หัวเราะ) แต่สิ่งที่เสียดายมากที่สุดคือตอนนี้สร้อยเส้นนั้นหายไปแล้ว

อยากบอกอะไรกับตัวเองในวัยเด็ก

คิมอยากจะบอกกับตัวเองในวันนั้นว่า “คิดถูกแล้วที่เชื่อฟังคุณพ่อ” เพราะสิ่งเหล่านั้นมันทำให้เรามีวันนี้ได้ คิมพูดได้เต็มปากว่าเป็นเพราะเขาเลย พ่ออยากให้คิมเป็นนักแสดง เราก็เชื่อพ่อ ซึ่งมันก็ได้กลายเป็นความฝันของเราเหมือนกัน