Vogue Thailand

WATCHES & JEWELLERY

โว้กเก็บทุกรายละเอียดผู้เข้าชิง GPHG 3 สาขา สุดยอดนาฬิกาสำหรับผู้หญิงแห่งปี 2025

เจาะลึกรางวัล GPHG ประจำปี 2025 กับ 3 สาขาประกอบด้วย LADIES, LADIES’ COMPLICATIONS และ JEWELLERY ที่เน้นย้ำเรื่องเรือนเวลาสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ

โดย Nattanam Waiyahong
12 พฤศจิกายน 2568

     ตลอดช่วงหลายปีหลังวงการนาฬิกามีแนวโน้มเอาจริงเอาจังด้านการพัฒนาเรือนเวลาสำหรับผู้หญิงมากขึ้นอย่างเป็นประจักษ์ ซึ่งการพัฒนาดังกล่าวมิได้หมายถึงเรื่องของอัญมณี ความหรูหรา หรือมิติความสวยงามเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการสอดแทรกนวัตกรรมอันน่าสนใจ เชื่อมโยงเข้ากับวิถีแห่งงานดีไซน์ที่มาบรรจบกันโดยสมบูรณ์ ปฏิเสธไม่ได้ว่าที่ผ่านมานาฬิกาสำหรับผู้หญิงมักโดนขีดจำกัดด้วยองค์ประกอบทั้งเรื่องขนาด สีสัน กลไก และอื่นๆ อีกมากมาย วันนี้กับรางวัล Le Grand Prix d’Horlogerie de Genève หรือที่รู้จักกันอักษรย่อว่า GPHG สามารถการันตีความยอดเยี่ยมของนาฬิกาผู้หญิงด้วยหมวดหมู่ถึง 2 ประเภท

‘LADIES’ คือหมวดหมู่รางวัลแรกสำหรับนาฬิกาผู้หญิง ซึ่งเน้นย้ำมิติความเรียบง่ายผสมผสานเข้ากับความยอดเยี่ยมของงานดีไซน์ โดยมีกฎเกณฑ์การตัดสินอิงตามระเบียบที่ว่านาฬิกาต้องเป็นรูปแบบเบสิก มีฟังก์ชั่นไม่มากไปกว่าการบอกเวลาหลักชั่วโมง นาที และวินาที รวมถึงกลไกอื่นๆ ประกอบด้วย มาตรวัดการสำรองพลังงาน มูนเฟส และมีข้อกำหนดว่าจะต้องประดับอัญมณีน้ำหนักรวมไม่เกิน 9 กะรัต ซึ่งในปี 2025 มีนาฬิกาจากเมซงชั้นเข้าชิงรางวัล รวม 6 เรือน เริ่มตั้งแต่ Audemars Piguet กับเรือนเวลา Royal Oak Mini Frosted Gold Quartz นาฬิกาสุดคลาสสิกจากเมซงที่ปรากฏขึ้นในขนาดจิ๋วเพียง 23 มิลลิเมตร โดดเด่นด้วยแพตเทิร์นลวดลาย ‘Petite Tapisserie’ ทั้งหมดทำจากวัสดุเยลโลว์โกลด์ ซึ่งถูกเนรมิตให้มีเอฟเฟกต์แบบ ‘Frosted Gold’ และหยิบยกแรงบันดาลใจมาจากเรือนเวลาขนาดจิ๋วเมื่อปี 1997 ของเมซง ต่อเนื่องด้วย Gérald Genta เมซงนาฬิกาภายใต้ชื่อเดียวกับสุดยอดตำนานนักรังสรรค์นาฬิกาซึ่งนำเสนอนาฬิกาสำหรับผู้หญิงกลไกอัตโนมัติอย่าง Gentissima Oursin Fire Opal โดดเด่นด้วยโทนสีส้มสะดุดตา เชื่อมโยงระหว่างความงดงามของโอปอสีเพลิงและรูปทรงอันมีเอกลักษณ์ ตัวเรือนทำจากวัสดุเยลโลว์โกลด์ ขนาดหน้าปัด 36.5 มิลลิเมตร ถือเป็นนาฬิกาผู้หญิงขนาดค่อนข้างใหญ่ แต่เปี่ยมด้วยมนต์เสน่ห์ทั้งเชิงงานฝีมือและนวัตกรรมที่สะท้อนภาพกลไก GG-005 Caliber ที่พัฒนาขึ้นโดยเมซงเอง

นอกจากนี้ยังมี Louis Vuitton Tambour Convergence Platinum นาฬิกาตัวเรือนแพลทินัมที่เผยความสง่างามที่ผสมผสานความหรูหราและความเรียบง่าย มีเอกลักษณ์สำคัญคือการบอกเวลาสไตล์ Montres à Guichet ที่ต้องใช้การวงแผ่นดิสก์และกลไกอันละเอียดประณีต เช่นเดียวกับการประดับเพชรจำนวน 795 เม็ดที่เพิ่มความระยิบระยับบนตัวเรือนทรงกลมแสนเรียบง่ายแต่สอดแทรกด้วยรายละเอียดของลูกเล่นที่น่าสนใจ ถัดมาคือเรือนเวลา Sixtie จาก Piaget ตัวเรือนพิงก์โกลด์ หน้าปัดเทอร์ควอยซ์ ซึ่งเป็นนาฬิกาผู้หญิงโฉมใหม่ล่าสุดจากเมซงเพียเจต์ ด้วยรูปทรงสี่เหลี่ยมคางหมูที่ชูแนวคิดเรื่องการเน้นย้ำผลงานที่มีรูปลักษณ์แตกต่าง มาพร้อมกับหน้าปัดแบบมินิมัลไร้ซึ่งหลักตำแหน่งเวลา พาให้นาฬิกาเรือนนี้เป็นผู้เข้าชิงรางวัลที่น่าจับตามอง
 

ปิดท้ายด้วยนาฬิกาอีก 2 เรือนประกอบด้วย Bird on a Rock Legacy Tanzanite จาก Tiffany & Co. ที่หยิบยกแรงบันดาลใจจากเข็มกลัดสุดคลาสสิกจากปี 1995 โดย Jean Schlumberger เน้นย้ำวิถีการออกแบบจิวเวลรีอันเลอค่าของเมซง ถ่ายทอดใหม่ในรูปแบบของนาฬิกาตัวเรือนไวต์โกลด์หน้าปัด mother-of-pearl แกะสลักดอกไม้ ขนาด 36 มิลลิเมตร จุดเด่นสำคัญคือนกที่กำลังเกาะเกี่ยวแทนซาไนต์น้ำหนัก 2.72 กะรัต และประดับเพชร รวมถึงรายละเอียด ‘Floral Arrows’ แพตเทิร์นผลงานลายเซ็นของดีไซเนอร์ เรือนสุดท้ายในหมวดนี้คือ Voutilainen 28CG นาฬิกาที่โดดเด่นรายละเอียดกีโยเช่ทั้งบนหน้าปัดและตัวเรือน โดยงานฝีมือทั้งหมดบนตัวเรือนทำด้วยมือทั้งหมด ภายในกลไกยังรังสรรค์และประกอบภายในเวิร์กช็อปของเมซงทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่น Small Seconds บอกเวลาด้วยหน้าปัดแยก รวมถึงความโดดเด่นของหน้าปัดกีโยเช่หลายแพตเทิร์นที่ประกอบรวมกันจนละสายตาไม่ได้

อีกหนึ่งรางวัลสำคัญที่พลาดไม่ได้สำหรับ GPHG ประจำปี 2025 กับการขับเคี่ยวอย่างเข้มข้นของนาฬิกาผู้หญิงที่มีกลไกซับซ้อนอย่าง ‘LADIES’ COMPLICATIONS’ ยึดตามมาตรฐานกฎเกณฑ์ที่ว่า นาฬิกากลิ่นอายเฟมินีนที่ผสมผสานระหว่างเรื่องกลไก ความสร้างสรรค์ และความซับซ้อน ซึ่งหมายถึงกลไกอันน่าทึ่งอย่าง Annual Calendar, Perpetual Calendar, Equation of Time, Complex Moon Phases, Tourbillon, Chronograph, World Time, Dual Time และกลไกอื่นๆ ที่ไม่ขมวดรวมอยู่กับหมวดรางวัลนาฬิกาสำหรับผู้หญิงและนาฬิกาสุดยอดนวัตกรรมกลไกอันเหนือระดับ ซึ่งในปีนี้มีนาฬิกากลไกระดับสูงสำหรับผู้หญิงเข้าชิง 6 เรือน ประกอบด้วย Audemars Piguet Code 11.59 by Audemars Piguet Selfwinding Flying Tourbillon นาฬิกาตูร์บิญงที่มาพร้อมมิติความสวยงามเหนือระดับจากเมซงระดับแถวหน้า ซึ่งเรือนเวลาหนึ่งในองค์ประกอบการเฉลิมฉลองครบรอบ 150 ปีนั้น โดดเด่นด้วยรายละเอียดของสีโมโนโครมและตัวเรือนแซนด์โกลด์ และที่พิเศษที่สุดคือนาฬิกาเรือนนี้เป็นการสอดแทรกกลไก ‘Flying Tourbillon’ ภายในตัวเรือนขนาด 38 มิลลิเมตรเท่านั้น ถัดมากับ Chopard Imperiale Four Seasons นาฬิกาตัวเรือนไวต์โกลด์และหน้าปัดมาร์เคทรี โดยหน้าปัดส่วนบนเป็นไวต์โกลด์ลวดลายดอกไม้ แต่ไฮไลต์สำคัญคืองานมาร์เคทรีที่จัดเรียง mother-of-pearl ที่ถูกเพนต์หลากสีสันเคลื่อนไหวเข้ากับบรรยากาศของฤดูกาลที่ผัดเปลี่ยนไปตลอดทั้งปี เพิ่มความหรูหราด้วยการประดับบนขอบหน้าปัด เบเซล ข้อสาย และเม็ดมะยม โดยนาฬิกาเรือนนี้ผลิตจำกัดเพียง 25 เรือนเท่านั้น

นาฬิกาเรือนต่อมาที่นำเสนอกลไกอันยอดเยี่ยมเหนือระดับสำหรับผู้หญิงคือ Franck Muller Round Triple Mystery ถ่ายทอดมิติความสร้างสรรค์ของเมซงที่นำเสนอเรื่องแสง การเคลื่อนไหว และจินตนาการไว้ด้วยกัน บนหน้าปัดจะเห็นดิสก์ 3 แผ่นหมุนวนเวียนเพื่อบอกตำแหน่งเวลาอย่างต่อเนื่อง ตัวเรือนทำจากวัสดุโรสโกลด์เพิ่มความหรูหราด้วยการประดับเพชรด้วยมือทุกเม็ดบนทุกส่วนของนาฬิกา ตามมาด้วย Gucci กับนาฬิกา Gucci Interlocking อีกหนึ่งข้อพิสูจน์จากเมซงแฟชั่นที่เน้นการพัฒนาด้านนาฬิกาอย่างจริงจังในช่วงหลายปีหลัง ซึ่งปีนี้นาฬิกาเรือนนี้พัฒนาออกมาในรูปแบบตัวเรือนพิงก์โกลด์ขนาด 41 มิลลิเมตร ประดับด้วยเพชรหลากขนาดสร้างเอฟเฟกต์แบบโมเสก และรูปทรงตัวเรือนคุชชั่นที่ประกอบเข้ากับกลไกแบบ ‘Flying Tourbillon’ บริเวณส่วนกลาง และกลไกบอกเวลาแบบ ‘Jumping Hours’ พาเรือนเวลาพุ่งทะยานสู่ตำแหน่งผู้เข้าชิงรางวัลในสาขานี้

อีกหนึ่งเมซงที่เน้นย้ำเรื่องนาฬิกาอย่างจริงจังคือ Hermès ซึ่งส่งเรือนเวลา Hermès Cut Le temps suspendu สุดยอดนาฬิกาที่ออกแบบฟังก์ชั่นการหยุดเวลามาได้อย่างเหนือจินตนาการ เปรียบเปรยถึงช่วงเวลาสำคัญที่อยากจะหยุดเวลาเพื่อเสพสม ซึ่งแม้จะเปิดตัวกลไกดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 2011 แต่นี่คือครั้งนี้ที่ถูกบรรจุลงในนาฬิกาคอลเล็กชั่น Hermès Cut มาพร้อมกลไก H1912 โฉมใหม่ โดยรุ่นที่เข้าชิงรางวัลเป็นตัวเรือนพิงก์โกลด์และหน้าปัดสีเบอร์กันดี ปิดท้ายด้วยนาฬิกา Jacob & Co ประดับเพชร 250 เม็ดเซ็ตด้วยเทคนิคเฉพาะของเมซง รุ่น The Mystery Tourbillon 44MM เพียบพร้อมด้วยงานฝีมือของการประดับอัญมณี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพชรเจียระไนทรงบาเกตต์ ที่สำคัญที่สุดคือ ‘Flying Tourbillon’ แบบ 3 แกน หลักบอกเวลาในวงแวนด้านในทำจากทับทิม และหลักเวลาวงแหวนด้านนอกทำจากแซปไฟร์สีน้ำเงิน สะท้อนภาพความงดงามและหรูหราเคียงข้างกับมิติความล้ำหน้าทางนวัตกรรมนาฬิกาอย่างสมบูรณ์

นอกเหนือจาก 2 รางวัลที่ขีดเส้นใต้สำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ แต่ยังมีอีกหนึ่งรางวัลที่อาจไม่ได้กล่าวถึงขอบเขตสำหรับผู้หญิงแต่สะท้อนความหรูหราและความสง่างามที่ตอบโจทย์ผู้หญิงได้เช่นกันกับหมวด ‘JEWELLERY’ ซึ่งยึดตามหลักเกณฑ์ของการประดับอัญมณี การคัดเลือกอัญมณีอันแตกต่าง และความงดงามราวกับเป็นเครื่องประดับอันเลอค่า เริ่มรายชื่อในลิสต์ผู้เข้าชิงด้วย Bvlgari เมซงจิวเวลรีระดับแถวหน้าที่กำลังเดินหน้าในแวดวงนาฬิกาอย่างจริงจังโดยไม่ลดละความยอดเยี่ยมด้านจิวเวลรี โดยส่ง Serpenti Aeterna เวอร์ชั่นมรกตเข้าประกวด นำเสนอรูปทรงงูโมเดิร์นโฉมใหม่ คลุกเคล้าความอาวองต์-การ์ด ความบริสุทธิ์​ และรูปทรงของกำไลข้อมือต้นฉบับ โดยในปีนี้นำเสนองูอันเป็นสัญลักษณ์ตามปีนักษัตรปฏิทินจีน ใช้สีขาวประดับทั้งสายและตัวเรือน มาพร้อมเพชรบนหน้าปัด ตัดกับเข็มสีเขียว โดยสายและตัวเรือนประกอบด้วยเพชร 428 เม็ด และมรกต 263 เม็ด รวมถึงหน้าปัดที่ประดับเพชรรวม 107 เม็ด ถัดมาอีกรายชื่อก็ยังเป็นเมซงจิวเวลรีระดับแถวหน้าที่เชี่ยวชาญด้านนาฬิกาเช่นกันอย่าง Chopard ที่นำเสนอเรือนเวลา Swan Lake สุดยอดหงส์ที่มาในรูปแบบของนาฬิกาซ่อน แสดงผลงานประติมากรรมด้านจิวเวลรีขั้นสูง ซึ่งประติมากรรมหงส์ทำจากไวต์โกลด์และเยลโลว์โกลด์ประดับเพชรขาวและดำอย่างหรูหรา สายน้ำด้านล่างขึ้นเรือนด้วยไทเทเนียมประดับเพชร โดยนาฬิกาเรือนนี้ใช้เวลาค้นคว้าวิจัย ออกแบบ และรังสรรค์นานถึง 1,500 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดหน้าปัด mother-of-pearl และกลไกด้านในอย่าง Caliber 10.01-C สรรสร้างกลไกไขลานที่สำรองพลังงานได้นานถึง 45 ชั่วโมง
 

ถัดจากเมซงจิวเวลรี เมซงแฟชั่นที่กำลังเติบโตด้านจิวเวลรีและนาฬิกาคือ Dior ที่พา La D Dior Buisson Couture เข้าชิงสาขานาฬิกาจิวเวลรี โดยนาฬิกาจิวเวลรีสะดุดตาเรือนนี้โดดเด่นด้วยตัวเรือนพิงก์โกลด์มาพร้อมสายซาติน แต่ไฮไลต์ที่สะกดทุกสายตาคือหน้าปัดที่ประดับด้วยเพชร แซปไฟร์สีชมพู และซาโวไรต์ ทั้งหมดเจียระไนแบบ Oval และ Marquis จำลองเหมือนช่อดอกไม้รวมกลุ่มเป็นดั่งสวนสวยสง่างาม ตัวเข็มเยลโลว์โกลด์ประดับเพชรวางตำแหน่ง 3 นาฬิกาสร้างมิติความแตกต่าง นอกจากนี้ยังมีการประดับเพชรบริเวณเบเซลและเม็ดมะยมแบบครบถ้วน นับเป็นอีกหนึ่งเรือนเวลาจิวเวลรีสุดหรูผลิตเพียงเรือนเดียวในโลก ถัดมากับนาฬิกาจากเมซงจิวเวลรีอีกเรือนคือ Swinging Sautoir จาก Piaget ที่มาพร้อมกับรากฐานเรื่องรูปทรงของเมซงนับตั้งแต่ปี 1874 ซึ่งมีการพัฒนาสร้อยคอเลอค่าหลากหลายรูปแบบมาตลอดเกินกว่า 150 ปี เช่นเดียวกับนาฬิกาที่มาในรูปแบบสร้อยคอที่ครั้งนี้ประดับด้วยอัญมณีหลายชนิดเช่นสปิเนลโทนสีอุ่นและโอปอลสีขาว ซึ่งสีสอดรับกับหน้าปัดอัญมณีสีรูบี้ และตัวเรือนพิงก์โกลด์ เรื่อยไปจนถึงเบเซลประดับเพชร

สุดยอดนาฬิกาจิวเวลรีในปีนี้อาจมีเมซงนาฬิกาเฉพาะทางเพียงเมซงเดียวที่เข้ามาอยู่ในลิสต์ผู้เข้าชิงรางวัล โดย Simon Brette ส่ง Chronométre Artisans Joaillerie เข้าประกวด ตัวเรือนแพลทินัมโอบล้อมหน้าปัดที่ประดับด้วยเพชรสไตล์หิมะสร้างความระยิบระยับ และวงแหวนด้านนอกประดับด้วยเพชรและมรกตเจียระไนแบบ baguette-cut สอดประสานกับโทนสีขององค์ประกอบทั้งเข็มและสกรูว์ที่รังสรรค์ด้วยเทคโนโลยี ALD โดยกลไกการบอกเวลาเพียบพร้อมด้วยหลักชั่วโมงและนาที รวมถึงหน้าปัดย่อยสำหรับหลักวินาที มากไปกว่านั้นยังเผยรายละเอียดกลไกด้านในบางส่วน สะท้อนมิติความยอดเยี่ยมทั้งเชิงจิวเวลรีและนวัตกรรมนาฬิกาชั้นยอดไปในเวลาเดียวกัน ปิดท้ายในหมวดนาฬิกาจิวเวลรีกับ Van Cleef & Arpels Cadenas นาฬิกาจิวเวลรีชั้นสูงที่ริเริ่มรังสรรค์มาตั้งแต่ปี 1935 ซึ่งต่อมากลายเป็นสัญลักษณ์ของโลกนาฬิกาจากเมซงจิวเวลรีระดับแถวหน้า ทั้งหน้าปัด ตัวเรือนและสายวัสดุเยลโลว์โกลด์ประดับเพชรแบบหิมะล้อรับกับแสง เพิ่มเติมด้วยแซปไฟร์สีน้ำเงินเจียระไน princess-cut ด้วยรูปทรงและการขึ้นเรือนแบบรอยต่อสร้างมิติความลื่นไหลให้กับนาฬิกาเรือนนี้อย่างถึงที่สุด ทำให้นาฬิกาจิวเวลรีนี้โดดเด่นมีเอกลักษณ์พร้อมเข้าชิงรางวัลสุดยอดนาฬิกาจิวเวลรียอดเยี่ยมของโลกในปีนี้

ติดตามชมการอัปเดตผู้ชนะรางวัลนาฬิกาประจำปีในสาขาต่างๆ ได้ที่โว้กประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2025

เรื่อง : นาทนาม ไวยหงษ์
กราฟิก : สุกฤตา ว่องวัฒนพิบูลย์
ภาพ : Courtesy of GPHG / Brands