WATCHES & JEWELLERY

เจาะลึก Bulgari Magnifica จิวเวลรีชั้นสูงสุดอลังการที่เต็มไปด้วยพลังสร้างสรรค์จากเหล่าอัญมณีน้ำงามหายาก

Bulgari เผยโฉมจิวเวลรีชั้นสูงสุดอลังการประจำปี 2021 ที่เต็มไปด้วยพลังสร้างสรรค์จากเหล่าอัญมณีน้ำงามหายาก เพื่อปลอบประโลมทุกคนที่กำลังเผชิญกับช่วงเวลาอันวิกฤติ

เมื่อเทศกาลปล่อยของของโลกจิวเวลรีชั้นสูงเริ่มต้นขึ้น หลายคนคงตั้งตารอชมว่านักสร้างสรรค์ระดับโลกจะนำเสนออะไรกันบ้างในช่วงเวลาแบบนี้ แน่นอนว่าไม่มีใครอยากเห็นหรือรับรู้เรื่องราวที่ทำให้รู้สึกหดหู่ หลายแบรนด์ใช้งานศิลปะที่สวยงามเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในยามนี้ บุลการีคือหนึ่งในนั้น “นี่คือสิ่งที่เราอยากทำในช่วงเวลาแบบนี้ ข้อความที่ส่งถึงทุกคนนั้นเปี่ยมไปด้วยความสุข นั่นก็คือสีสันและงานศิลปะอันงดงามในสไตล์บุลการี” Lucia Silvestri ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของแบรนด์บอกกับโว้กประเทศไทยทาง Zoom พลางหยิบจิวเวลรีชั้นสูงชิ้นไฮไลต์จากคอลเล็กชั่น Magnifica บนโต๊ะทำงานมาสวมให้ดู 

เธอเล่าว่าแนวคิดนี้เกิดขึ้นเนื่องจากเหตุการณ์สูญเสียครั้งใหญ่ในเมืองมิลาน และทั่วโลกต่างพยายามต่อสู้กับโรคระบาดร้ายแรงนี้ด้วยวิธีการต่างๆ บุลการีจึงอยากให้คอลเล็กชั่นนี้เป็นเหมือนการสร้างความหวังอันสวยงาม ให้กำลังใจทุกคนว่าฟ้าหลังฝนต้องสดใสเหมือนคอลเล็กชั่นแมกนิฟิกาแน่นอนซึ่งเราก็รู้สึกเช่นนั้นจริงๆ เมื่อเห็นชิ้นไฮไลต์ประจำคอลเล็กชั่นก็นึกถึงเพลง C’est Magnifique เวอร์ชั่น Kay Starr ขึ้นมาทันที สีสันสดใสกับความใหญ่โตของอัญมณีชวนให้นึกถึงทำนองสนุกๆ น่าตื่นเต้นของเพลง เครื่องประดับทั้ง 122 ชิ้นแบ่งออกเป็น 3 ไลน์ได้แก่ Gems, Hands และ Muses โดยมีคอนเซปต์แตกต่างกันดังนี้ Gems พูดถึงเหล่าอัญมณีชิ้นโตอลังการหายากที่ต้องใช้ทั้งเวลาและโชคกว่าจะได้แต่ละชิ้นมารังสรรค์ผลงานสุดพิเศษ Hands เน้นผลงานมาสเตอร์พีซที่ทำด้วยมือโดยช่างฝีมือมาเอสเทรียของอิตาลี ส่วน Muses ตั้งใจอุทิศให้สุภาพสตรีที่เป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจและขับเคลื่อนสังคมในด้านต่างๆ (เช่น Tamara de Lempicka, Maharaja of Indore, Eileen Chang และ Zaha Hadid) 

ลูเซียหยิบไอแพ็ดโชว์รูปที่เธอสวมสร้อยคอ Mediterranean Queen จากไลน์ Gems ให้เราดูแล้วเล่าให้ฟังว่าสีฟ้าเขียวน้ำทะเลจากพาราอิบาทัวร์มาลีนทั้ง 5 เม็ดนี้ (น้ำหนักรวมกันประมาณ 500 กะรัต!) ทำให้เธอนึกถึงเกาะซาร์ดิเนียของอิตาลีที่โอบล้อมด้วยทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เราถามว่าใส่แล้วหนักไหม เธอตอบว่าไม่เลยเพราะออกแบบให้ข้างในโปร่งและคำนวณองศาของการโอบรอบลำคอมาอย่างดีชิ้นไฮไลต์ประจำคอลเล็กชั่นนี้มีหลายชิ้น เช่น สร้อยคองู Hypnotic Emerald ที่โดดเด่นด้วยมรกตโคลัมเบียคาโบชอนเม็ดโต 93.83 กะรัต สร้อยคอเหรียญทำมือ Monete Weave ที่ใช้เวลาถึง 1,400 ชั่วโมง สร้อยคอ Sapphire Petal ที่สีของแซปไฟร์ทรงคอร์นฟลาวเวอร์ชวนให้นึกถึงเสื้อคลุมสีฟ้าของพระแม่มารี สร้อยคอมรกต Emerald Elipse สร้อยคอ Baroque Spiral ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก Artemisia Gentileschi ศิลปินหญิงยุคบาโร้ก สร้อยคอ Diamond Swan ที่มี Tamara de Lempicka ศิลปินหญิงยุคอาร์ตเดโค่เป็นแรงบันดาลใจ และสร้อยคอ Lotus Flower ที่มหารานีแห่งอินดอร์คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังผลงานอลังการชิ้นนี้



WATCH




แต่ชิ้นพิเศษที่โว้กอยากพูดถึงคือสร้อยคอ Imperial Spinel จากไลน์ Gems ที่ใช้สปิเนลเม็ดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก น้ำหนัก 131.21 กะรัต ลูเซียบอกเราว่าตอนเห็นครั้งแรกก็ตกใจ แต่ก็คงมีแต่บุลการีเท่านั้นที่จะสามารถเนรมิตอัญมณีชิ้นใหญ่เป้งขนาดนี้ให้สวยสมฐานะได้ ซึ่งเธอก็ผสมโทนสีชมพูฮอตพิงก์ของสปิเนล ชิ้นนี้กับลูกปัดมรกตสีเขียวและเพชร ห้อยลงมาเป็นพู่ได้อย่างงดงาม เราถามเธอว่าที่เลือกสปิเนลเพราะความหมายของมันหรือเปล่า เธอตอบว่าจริงๆ แล้วไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะได้สปิเนลชิ้นนี้มา แต่เธอก็ดีใจเพราะความหมายของมันนั้นช่างเหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบันเหลือเกิน คือเป็นอัญมณีแห่งความหวัง การฟื้นฟู และการเฉลิมฉลองความสุขของการมีชีวิตอยู่...และนี่คือสิ่งที่บุลการีต้องการจะสื่อสารไปถึงทุกคน ฟ้าหลังฝนนั้นงดงามเสมอ...ขอแค่มีความเชื่อ ความหวัง และความฝัน   

1 / 8

สร้อยคอ Prodigious Colour จากไลน์ Muses


2 / 8

แหวนตัวเรือนทองคำขาวประดับแซฟไฟร์


3 / 8

สร้อยคอ Sapphire Petal


4 / 8

สร้อยคอ Imperial Spinel ชิ้นไฮไลต์


5 / 8

สร้อยคอ Lotus Flower


6 / 8

สร้อยคอ Artemisia Gentileschi


7 / 8

สร้อยคอ Fluid Tanzanite ได้แรงบันดาลใจจาก Zaha Hadid


8 / 8

ตุ้มหู Lotus Flower จากไลน์ Muses


WATCH