จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปกับ ‘เจ้าชายวิลเลียม และ เคต มิดเดิลตัน’ กับกลยุทธ์รีแบรนด์ดิ้งของราชวงศ์อังกฤษ
แล้วคุณล่ะ...คิดว่าการพยายามรีแบรนด์ดิ้งของราชวงศ์อังกฤษในครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่
เหล่าราชวงศ์อังกฤษมักจะเก็บตัวอย่างเงียบเชียบในช่วงซัมเมอร์ พักผ่อนอย่างสงบ ณ ปราสาทบัลมอรัล พระตำหนักของควีนเอลิซาเบธที่ประเทศสกอตแลนด์ สำหรับการล่ากวางและบาร์บีคิวริมลำธารลุ่มแม่น้ำดี เจ้าชายวิลเลี่ยม, เคท มิดเดิลตัน, และลูกๆ ทั้งสาม เจ้าชายจอร์จ, เจ้าหญิงชาร์ล็อต, และเจ้าชายหลุยส์ เพิ่งเข้าร่วมการ “สลีปโอเวอร์อย่างยิ่งใหญ่” ในที่แห่งนั้นพร้อมด้วยเหล่าราชวงศ์ โดยนิตยสารอเมริกันอย่างวานิตี้แฟร์ ได้เล่าถึงบรรยากาศที่ดูจะอบอุ่นกว่าเมื่อครั้งที่นายกรัฐมนตรีถูกกดดันจากการร่วมเล่นเกมสำหรับการสังสรรค์อย่าง Ibble dibble
อาจเป็นเพราะการยืดเยื้อของโรคระบาดหรือความจริงที่ว่าชื่อของเจ้าชายแอนดรูว์ปรากฏบนลิสต์ที่พัวพันกับการค้าประเวณีของเจฟฟรีย์ เอปสตีน เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ผู้กล่าวหา Virginia Giuffre ยื่นฟ้องเจ้าชายแอนดรูว์ ณ ศาลรัฐบาลกลางในนิวยอร์ก (เจ้าชายปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา) แต่หลักๆ น่าจะเป็นเรื่องของเจ้าชายแฮร์รี่และเมแกน มาร์เกิล ที่กลายเป็นประเด็นร้อนของเหล่าราชวงศ์อังกฤษ
เมื่อทั้งคู่ลาออกจากการเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์ในปี 2020 นอกจากจะสร้างความประหลาดใจให้สาธารณชนแล้ว คำกล่าวของพวกเขายังตรึงผู้คนได้อยู่หมัด หลังจากที่เมแกนสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ สมาชิกที่เหลือของราชวงศ์ล้วนแต่ให้ความรู้สึกที่ว่าสถานการณ์ต่างๆ จะเป็นไปในรูปแบบเดิมอย่างไม่เปลี่ยนแปลง บทบาทหน้าที่ของการเป็นราชวงศ์รุ่นใหม่จึงตกเป็นของเจ้าชายวิลเลี่ยมและเคท มิดเดิลตัน ซึ่งเป็นคู่ที่ค่อนข้างจะเก็บตัว (อาจเป็นปกติของทั้งสองหรืออาจเป็นเพราะเจ้าชายวิลเลี่ยมคือผู้สืบทอดบัลลังก์ก็เป็นได้) ภายใต้สถานการณ์ที่แสนจะแปรปรวนเช่นนี้ ทั้งคู่ได้ถูดจัดแจงให้มีบทบาทหน้าที่ที่โดดเด่นมากยิ่งขึ้น
ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ พวกเขาทั้งสี่ดูเหมาะสมกับการย่างกรายเข้าสู่ยุคสมัยที่น่าตื่นเต้นไปด้วยกัน แต่แล้วในเดือนมีนาคม เจ้าชายแฮร์รี่และมาร์เกิลทลายกฎของราชวงศ์ด้วยการออกมาให้สัมภาษณ์เรื่องการเหยียดสีผิวภายในราชวงศ์กับโอปร่าห์ ซึ่งถือได้ว่าพลิกหน้าประวัติศาสตร์ราชวงศ์อังกฤษเสียยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เจ้าชายแฮร์รี่ยังกล่าวถึงความรู้สึกที่เสมือนถูกตรึงไว้กับที่ของเจ้าชายวิลเลี่ยม เมแกนเสริมอีกด้วยว่ากระแสข่าวที่ออกมาว่าเธอคือผู้ที่ทำให้เคทถึงกับร่ำไห้เรื่องชุดเพื่อนเจ้าสาว แท้จริงแล้วตรงกันข้ามกับสิ่งที่เกิดขึ้น จากเหตุการณ์นี้ คนบางกลุ่มให้ความเห็นว่าภาพลักษณ์ของเจ้าชายวิลเลี่ยมและเคทได้รับความเสียหายไปพร้อมกับความน่าเชื่อถือที่สั่งสมมากับการให้การสนับสนุนทางด้านสุขภาพจิต ตามที่เมแกนได้กล่าวว่า ราชวงศ์ไม่เหลียวแลการร้องขอความช่วยเหลือของเธอในระหว่างที่เธอต้องทนทุกข์กับความคิดที่จะปลิดชีพของตนเอง ประมาณหนึ่งเดือนให้หลัง เจ้าชายฟิลลิปสิ้นพระชนม์ ควีนเอลิซาเบธกลายเป็นแม่หม้ายในวัย 95 หลังจากการครองคู่กันมากว่า 73 ปี ทำให้เริ่มจะเห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้นของการส่งต่อบัลลังก์ของควีนเอลิซาเบธสู่เจ้าชายชาร์ลส์ถึงเจ้าชายวิลเลียมในที่สุด
WATCH
ณ ขณะนี้ เจ้าชายวิลเลี่ยมและเคทกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน หลังจากเหตุการณ์แฮร์รี่และเมแกน, หลังจากการสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายฟิลลิป พวกเขาจะก้าวต่อไปในทิศทางใด? ในแง่ภูมิศาสตร์ เดอะ เทเลกราฟรายงานว่า เจ้าชายวิลเลี่ยมและเคทคิดทบทวนกันอย่างจริงจังถึงการย้ายไปอยู่วินด์เซอร์ (ออกห่างจากลอนดอนเพียงเล็กน้อย) เนื่องจากราชวงศ์มักใช้เวลาส่วนใหญ่ที่พระราชวังวินด์เซอร์ นั่นทำให้เจ้าชายวิลเลี่ยมและเคท “สามารถให้การสนับสนุนควีนเอลิซาเบธได้ดียิ่งขึ้น พร้อมกับที่ทั้งคู่ต้องรับบทบาทที่เพิ่มมากขึ้นในฐานะศูนย์รวมจิตใจของราชวงศ์” จากที่ดินในวินเซอร์ที่ทางราชสำนักถือครอง ตัวเลือกที่เป็นไปได้มากที่สุดคงหนีไม่พ้น ‘ฟร็อกมอร์ เฮาส์’ (คนละพื้นที่กับ ‘ฟร็อกมอร์ คอทเทจ’ ที่เจ้าชายแฮร์รี่และเมแกนเคยอาศัย) แหล่งข่าวจากเดอะ เทเลกราฟบอกใบ้ไว้ว่า “ถ้าหากเจ้าชายจอร์จและเจ้าชายหลุยส์จะเจริญรอยตามคุณพ่อของพวกเขาและเข้าศึกษาที่อีตัน การย้ายที่พักอาศัยไปยังวินด์เซอร์หมายถึงความสะดวกในการเดินทางไปยังสถานศึกษาของเจ้าชายทั้งสอง”
ถึงแม้ว่าเจ้าชายชาร์ลส์ วัย 72 คือผู้ที่จะขึ้นครองบัลลังก์เป็นคนต่อไป แต่อนาคตของราชวงศ์…จะด้วยการโปรโมตในรูปแบบใดก็ตามทีดูจะเน้นหนักไปที่เจ้าชายวิลเลียมและเคท, ทั้งคู่ในวัย 39, และครอบครัวของพวกเขา ยังคงมีภารกิจอีกมากมายสำหรับตลอดชีวิตในรั้ววังที่รอคอยพวกเขาอยู่ (และแน่นอนว่ารูปถ่ายใบหน้าที่งดงามของพวกเขาจะได้รับการประดับตกแต่งอยู่บนผ้าเช็ดมือ) เจ้าชายวิลเลียมและเคทให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับความเป็นส่วนตัวของลูกๆ โดยมักจะแชร์รูปถ่ายเฉพาะวันสำคัญอย่างวันเกิดและวันหยุดนักขัตฤกษ์ แต่การปรากฏตัวของเจ้าชายจอร์จในชุดสูทและไทด์ตัวจิ๋วเพื่อเข้าร่วมงานยูโรคัพในช่วงซัมเมอร์ คือภาพที่ทำให้วงจรการสืบต่อราชบัลลังก์เป็นไปโดยสมบูรณ์
ถ้าหากเจ้าชายวิลเลี่ยมและเคทจะสานต่อความเป็นราชวงศ์อังกฤษให้อยู่ยั้งยืนยง ทั้งคู่จะต้องก้าวไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของสหราชอาณาจักร และการที่ทั้งสองไม่ได้ส่งข้อความเป็นการส่วนตัวเพื่อแสดงออกว่าได้รับทราบสถานการณ์เกี่ยวกับ Black Lives Matter นั้นไม่ช่วยอะไรแก่ชนรุ่นเยาว์ที่เติบโตมาพร้อมกับความหลากหลายทางวัฒนธรรม (องค์กรการกุศลด้านสุขภาพจิตที่จัดตั้งโดยรอยัลแฟมิลี่มีการส่งข้อความออกมาอย่างเป็นทางการเพื่อสนับสนุน Black Lives Matter) ไม่มีแม้กระทั่งการกล่าวโทษแก่ผู้ที่หยามเหยียดเมแกนเรื่องเชื้อชาติ ทั้งๆ ที่เจ้าชายวิลเลี่ยมเองได้เปิดเผยว่าเขารู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมากกับการที่นักฟุตบอลทีมชาติอังกฤษถูกเหยียดหยามเรื่องเชื้อชาติ
แต่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนตั้งแต่การลาจากราชวงศ์ของเจ้าชายแฮร์รี่และเมแกน เจ้าชายวิลเลี่ยมและเคทดูจะผ่อนคลายขึ้นในโลกโซเชียลมีเดีย ในอินสตาแกรม เคทโพสต์ภาพระหว่างการเข้ารับวัคซีนโควิด-19 เธอแต่งตัวสบายๆ ด้วยการสวมกางเกงยีนส์และเสื้อยืด และครอบครัวของพวกเขายังแชร์ภาพและข้อความที่ซาบซึ้งกินใจ (ซึ่งมีความผิดแผกไปจากปกติ) เพื่อเป็นการระลึกถึงเจ้าหญิงไดอาน่าเนื่องในวันแม่อีกด้วย นอกจากนี้ ช่วงที่พวกเขาเปิดตัวช่องยูทูปเมื่อเดือนพฤษภาคม วีดิโอตัวแรกที่ถูกอัพโหลดคือคลิปสั้นๆ เป็นการนำฟุตเทจที่ถูกคัดออกมาเรียงร้อยต่อกันให้ดูสนุกสนานและเป็นกันเอง และทางสำนักพระราชวังยังปล่อยภาพที่ทั้งคู่โอบกอดกันในบรรยากาศสบายๆ เนื่องในวันครบรอบแต่งงานปีที่ 10 เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
มิอาจทราบได้อย่างชัดเจน ว่าเหล่านี้คือการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงหรือเป็นเพียงการรีแบรนด์ของทางราชสำนัก เหล่าผู้ติดตามข่าวในพระราชสำนักอย่างใกล้ชิดต่างกลับมาจดจ้องและพยายามอ่านเกมจากข้อความอันน้อยนิดที่ได้รับการเผยแพร่ออกสู่สาธารณะ นอกจากจะทำให้วงจรของราชวงศ์สั่นสะเทือนแล้ว เจ้าชายแฮร์รี่และเมแกนยังสร้างบรรทัดฐานขึ้นมาใหม่ ทั้งคู่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการเข้าถึงผู้คนอย่างเป็นกันเอง เปิดเผยตัวตนอย่างชัดเจน รวมถึงการลงข้อความและรูปภาพบนอินสตาแกรมที่ดูน่าติดตาม (ลาก่อน @sussexroyal) ช่วยให้พวกเขาเชื่อมต่อและเข้าถึงผู้คนได้อย่างแท้จริง ถือเป็นการปลดเปลื้องฉากกั้นที่แปรเปลี่ยนสถาบันกษัตริย์ให้เข้าไปอยู่ในใจผู้คนได้อย่างแยบคาย (เรียกขานว่า ‘กฎของไดอาน่า’ ก็คงไม่ผิดนัก) ถ้าหากเจ้าชายวิลเลี่ยมและเคทดูผ่อนคลายขึ้นกว่าแต่ก่อน เป็นไปได้ว่าพวกเขาพยายามนำสิ่งเหล่านั้นมาปรับใช้เพื่อให้เข้าถึงใจผู้คน สิ่งเดียวที่รอยัลแฟมิลี่ยึดมั่นไม่เปลี่ยนแปลง อาจเป็นสิ่งที่ควรจะได้รับการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดก็เป็นได้
แปล: ชนิสรา กตัญญูทวีทิพย์
ข้อมูล : Vogue US
WATCH