ปรากฏการณ์สองสะใภ้แห่งราชวงศ์อังกฤษ ‘เมแกน มาร์เคิล vs. เคท มิดเดิลตัน’ กับต้นตอความเกลียดชัง
โว้กพาทุกคนย้อนกลับไปตามรอยจุดเริ่มต้นความแตกหัก และเรื่องราวดราม่าของสองสะใภ้แห่งราชวงศ์วินด์เซอร์ ที่ขายดีที่สุดบนหน้าหนังสือพิมพ์ยุคนี้!
**บทความนี้ถ่ายทอดความรู้สึกในมุมของ Michelle Ruiz ผู้เขียน**
สามสัปดาห์หลังจากที่เมแกน มาร์เคิลให้สัมภาษณ์กับโอปร่าห์ วินฟรีย์ ฉันยังคงนึกถึงโมเมนต์ที่น่าประทับใจแต่ดันถูกมองข้าม เมื่อเมแกนขอร้องกับกลุ่มแฟนคลับที่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจนเพื่อต่อต้านเธอและเคท มิดเดิลตัน “สิ่งที่ฉันสังเกตเห็นก็คือความคิดที่เบี่ยงเบียนไปทางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างสุดขั้ว” เมแกนกล่าว “ถ้าคุณรักฉัน คุณไม่ต้องเกลียดเธอ และถ้าคุณรักเธอ คุณไม่จำเป็นจะต้องเกลียดฉัน”
ฉันนั่งนิ่งงันอยู่เนิ่นนานระหว่างสองชั่วโมงของการสัมภาษณ์ แต่สิ่งที่เมแกนกล่าวไปข้างต้นทำให้ฉันนึกอะไรขึ้นมาได้ ก่อนที่ยอดผู้ชมจะแตะ 17 ล้านคน เมแกนได้กล่าวถึงพฤติกรรมที่เป็นภัยในโลกออนไลน์มาเป็นเวลาหลายปี การแบ่งแยกอย่างชัดเจนระหว่าง “ทีมเคท vs. ทีมเมแกน” ที่วัดความจงรักภักดีด้วยการเกลียดชังฝ่ายตรงข้าม ฉันเคยเขียนเกี่ยวกับเมแกนในประเด็นเรื่องการเหยียดเพศและสีผิวที่สื่อใช้โจมตีเธอตั้งแต่แรกเริ่ม แต่ในทวิตเตอร์ของฉันกลับเต็มไปด้วยข้อความวิพากษ์วิจารณ์จากแฟนคลับของเมแกนเกี่ยวกับความไม่ตรงไปตรงมาของฉัน นั่นเป็นเพราะฉันเคยเขียนชื่นชมเคทในอดีต
“ความเป็นขั้วตรงข้ามกันอย่างสุดขั้วนั้นคล้ายคลึงกับที่เราเห็นในวงการการเมืองเป็นอย่างมาก พวกเราไม่เคยเห็นใครที่เป็นกลางเมื่อเรื่องนั้นเกี่ยวข้องกับโดนัลด์ ทรัมป์” Susan E. Kelley ผู้ริเริ่ม ‘What Kate Wore’ บล็อกเกี่ยวกับสไตล์การแต่งตัวของดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ เล่าว่า “ฉันเห็นอะไรแบบนี้อยู่เยอะมาก การไม่ลงรอยกันของแฟนคลับเมแกนและเคท”
ครั้งหนึ่ง ‘What Kate Wore’ และ ‘What Meghan Wore’ เคยเป็นเพจคู่หูที่มักจะแลกเปลี่ยนลิ้งก์และโลโก้ในหน้าโฮมเพจอยู่เสมอ แต่เมื่อปีที่แล้ว หลังจากที่เมแกนและเจ้าชายแฮร์รี่สละตำแหน่งทางราชวงศ์ เคลลี่และ Susan Courter ผู้ดูแล ‘What Meghan Wore’ ตัดสินใจแยกสองเพจออกจากกัน หลักๆ มาจากความตึงเครียดและความไม่ลงรอยที่มีมากขึ้นระหว่างแฟนคลับของเมแกนและเคท การคัดกรองข้อความว่าร้ายและคอมเมนต์เหยียดสีผิวบนเฟซบุ๊คและอินสตาแกรมกลายเป็นสิ่งที่น่าหดหู่ใจในชีวิตประจำวันของซูซานทั้งสอง (ที่ยังคงติดต่อกันอย่างใกล้ชิด) “มีบางครั้งที่เราทั้งคู่ร้องไห้ไปพร้อมกันผ่านทางโทรศัพท์ เพราะพวกเราเหนื่อยหน่ายกับมันเป็นอย่างมาก” เคลลี่กล่าว มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เคลลี่เผอิญทวีตเรื่องราวเกี่ยวกับเคทจากแอคเคาท์ของเมแกนโดยไม่ได้ตั้งใจ: “เป็นความผิดพลาดตามประสามนุษย์มนา แต่ผู้คนทำเหมือนกับว่ามันเป็นความหายนะที่ร้ายกาจอย่างเหลือล้น” เหตุการณ์ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ทำให้ผู้ดูแลเพจ ‘What Meghan Wore’ หนักใจจนไม่สามารถที่จะอวยพรวันเกิดให้แก่เคท “เพราะฉันจะโดนถล่มเละเทะและจะสูญเสียยอดผู้ติดตามอย่างแน่นอน”
สำหรับผู้ที่อยู่ในโลกออนไลน์เป็นกิจวัตร การเป็นเพียงแฟนคลับดูจะไม่เพียงพออีกต่อไป นั่นคือการมาถึงของการเป็น ‘สแตน’ ซึ่งมีกฎที่ชัดเจนว่าความนิยมชมชอบจะต้องพุ่งไปที่คนเพียงคนเดียว และการแตกหักของเคทและเมแกนบ่งบอกถึงวิถีความเป็นสแตนได้เป็นอย่างดี Omid Scobie ผู้รายงานข่าวในพระราชสำนักและหนึ่งในผู้เขียน Finding Freedom หนังสือเกี่ยวกับการสละตำแหน่งทางราชวงศ์ของเจ้าชายแฮร์รี่และเมแกน สรุปประเด็นออกมาได้ชัดเจน “คุณต้องเลือกว่าจะอยู่ทีมนิกกี้หรือทีมคาร์ดี้ คุณไม่สามารถจะอยู่กับทั้งสองทีมได้” ในกรณีที่เกิดการบูลลี่บนโลกออนไลน์อันเนื่องมาจากการแบ่งพักพวกระหว่างสแตนของเคทและเมแกน ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนการต่อต้านการบูลลี่ด้วยกันทั้งคู่ เคลลี่ให้ความเห็นว่า “ทั้งสองคงจะเห็นเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจเป็นอย่างยิ่ง ถ้าได้อ่านข้อความต่างๆ ที่แอบอ้างชื่อของพวกเธอทั้งคู่”
WATCH
Scobie คือหนึ่งในผู้สื่อข่าวที่ได้รับความเคารพนับถือมากที่สุดในสายงานข่าวในพระราชสำนัก แต่ในฐานะผู้ติดตามความเคลื่อนไหวของเมแกนทุกฝีก้าว เขามักจะรู้สึกหวั่นๆ เมื่อต้องโพสต์เกี่ยวกับเคทบนทวิตเตอร์ “เพราะนั่นทำให้ผมรู้สึกว่าจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายที่ไม่ชอบใจในเรื่องนี้ เพียงเพราะผมลงเรื่องเกี่ยวกับเธอ” ในขณะเดียวกัน “ถ้าผมเขียนเกี่ยวกับเมแกน ยืนยันได้เลยว่าครึ่งหนึ่งของรูปโปรไฟล์ในคอมเมนต์ด้านล่างคือรูปจากฝั่งเคมบริดจ์ และทั้งหมดล้วนให้ความคิดเห็นในแง่ลบ” ทีมซัสเซกซ์มักจะมีเสียงสนับสนุนมากกว่าเสมอ เขากล่าว ส่วนเรื่องการเหยียดสีผิวที่เมแกนต้องเผชิญอยู่บ่อยครั้งนั้น: “หลายต่อหลายคนรู้สึกว่าถ้าไม่ออกมาปกป้องฝั่งซัสเซกซ์ ก็จะไม่มีใครปกป้องพวกเขา เพราะสื่อ (อังกฤษ) ไม่ได้ทำเช่นนั้น และทางราชวงศ์ไม่มีทีท่าว่าจะปกป้องพวกเขาด้วยเช่นกัน”
จุดเริ่มต้นของ Scobie คือการรายงานข่าวคราวของเจ้าชายวิลเลี่ยมและเคท มิดเดิลตัน ทั้งการออกตระเวนอย่างเป็นทางการครั้งแรกของทั้งคู่และการประสูติของเจ้าชายจอร์จ เมื่อเขาเริ่มหันไปโฟกัสกับเมแกนและแฮร์รี่ กระแสวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้หยุดเพียงในโลกออนไลน์ แต่ยังมาจากทางราชวงศ์เองอีกด้วย: “เมื่อปีที่แล้ว คนจากทางราชสำนักกล่าวกับผมว่าผมได้เลือกฝั่งเป็นที่เรียบร้อยและควรจะต้องอยู่ในฝั่งที่ตนเองเลือก”
สำหรับฉันแล้ว เคทเป็นดั่งประตูสู่การติดตามข่าวสารจากราชวงศ์อังกฤษอย่างเอาจริงเอาจังตั้งแต่ปี 2001 ในช่วงที่เราต่างเดทหนุ่มหล่อในรั้วมหาวิทยาลัยก่อนที่จะแต่งงานกันในที่สุด ในกรณีของเคท มีการป่าวประกาศกันอย่างถ้วนทั่วในปี 2011 เมื่อเฟมินิสต์ผู้ประกาศตนอย่างชัดแจ้งอย่างเมแกนปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับยีนส์ขาดๆ ในปี 2017 เธอตรึงความสนใจของฉันได้ในทันที แต่คำถามที่ว่า ผู้หญิงสองเชื้อชาติชาวอเมริกันที่ใช้ชีวิตอย่างอิสระจะสามารถเข้าไปอยู่ในระบบระเบียบของราชวงศ์อังกฤษได้อย่างไรนั้น เป็นประเด็นที่ได้รับการวิเคราะห์และตรึงตรองกันเป็นอย่างมาก “เคทคือผู้ที่ทำให้ฉันรู้สึกมีตัวตนในช่วงอายุ 20” Hitha Palepu ผู้ติดตามข่าวในพระราชสำนักมาอย่างยาวนานและผู้เขียน ‘We’re Speaking: The Life Lessons of Kamala Harris’ กล่าว ส่วนเมแกนคือเพื่อนประเภทที่ฉันตามหาในช่วงอายุ 30: “ฉันอยากจะไปเก็บไข่ไก่กับเธอที่ Archie’s Chick Inn”
หลักใหญ่ใจความสำคัญของ ‘เคท vs. เมแกน’ แท้จริงแล้วไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับทั้งคู่ แต่มาจากแรงกดดันทางด้านเพศและเชื้อชาติที่ทำให้เกิดความขัดแย้งนี้ขึ้น เปรียบเสมือนกระจกสะท้อนความนิ่งงันของราชวงศ์อังกฤษและพิษร้ายจากสื่อแท็บลอยด์ Scobie ยังให้ความเห็นอีกด้วยว่า ในความเป็นจริงแล้ว “ทั้งคู่ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันมากมาย” ระหว่างดัชเชสแห่งซัสเซกซ์และเคมบริดจ์ “ไม่ได้มีการแตกหัก แต่เป็นเพียงผู้หญิงสองคนที่ไม่ได้สนิทสนมกันขนาดนั้น” และเพียงแค่ “ไม่ได้มีความชอบที่คล้ายคลึงกันเท่าไรนัก” สิ่งที่ทำให้เรื่องทั้งหมดกลับใหญ่โตกว่าความเป็นจริงก็คือการพาดหัวข่าวของสื่ออังกฤษ “นี่คือสิ่งที่เหล่าชายผิวขาวเจ้าของหนังสือพิมพ์ต่างต้องการ: เพราะดราม่าคือตัวสร้างรายได้ดีๆ นี่เอง” Palepu กล่าว “ถึงแม้ว่าดราม่าที่ว่านั้นจะไม่ใช่เรื่องจริงก็ตาม และเมื่อไม่ใช่เรื่องจริงก็ยิ่งใส่ไฟกันอย่างสนุกสนาน”
ที่กล่าวมาทั้งหมด ยังไม่นับรวมการเผชิญปัญหาส่วนตัวของเจ้าชายวิลเลี่ยมและเจ้าชายแฮร์รี่: ผู้หญิงคือฝ่ายรับผิดมาโดยตลอด ดัชเชสทั้งสองตกเป็นเหยื่อของนักข่าวมาตั้งแต่แรกเริ่ม ในปี 2018 แท็บลอยด์สัญชาติอังกฤษอย่าง ‘เทลิกราฟ’ อ้างว่าเมแกนทำให้เคทถึงกับหลั่งน้ำตาในประเด็นเรื่องชุดของเด็กหญิงผู้ถือดอกไม้ในงานแต่งงาน (เมแกนกล่าวกับโอปร่าห์ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงนั้นตรงกันข้ามกับในข่าว) อีกหนึ่งสื่ออังกฤษอย่าง ‘เดอะ ซัน’ อ้างว่าทั้งคู่อารมณ์ร้อนใส่กันเนื่องจากเมแกนไม่รักษามารยาทต่อผู้ที่ทำงานให้เคท (ทางสำนักพระราชวังออกจดหมายปฏิเสธการกระทำที่ว่านี้) และสื่อที่คอยปั่นป่วนทั้งคู่ไม่เลิกอย่าง ‘เดลี่ เมล์’ ถึงกับเปรียบเทียบความแตกต่างที่ชัดเจนของเมกอัพพาเลทที่พวกเธอใช้แต่งหน้า จนทำให้สื่อในอเมริกาอย่าง ‘ยูเอส วีคลี่’ ตอกย้ำลงบนหน้าปกว่าทั้งคู่ “ไม่มีทางที่จะเป็นเพื่อนกัน” ในปี 2019
Elaine Lui ผู้ก่อตั้งและบรรณาธิการจาก laineygossip.com และผู้ดำเนินรายการ Etalk and The Social จาก CTV ออกมาร้องเรียนเกี่ยวกับการพาดหัวข่าวในพระราชสำนักโดยยกเรื่องเพศเป็นประเด็นหลัก “หยุดพุ่งเป้าไปที่ผู้หญิงทั้งสอง” เธอกล่าว “อำนาจที่แท้จริงอยู่ที่พี่ชาย-น้องชายคู่นี้เสียมากกว่า”
การเล่นกับประเด็นเมแกนและเคท กลับกลายเป็นอาวุธในการโจมตีเรื่องเชื้อชาติของดัชเชสแห่งซัสเซกซ์อย่างไม่จบไม่สิ้น เคทกลายเป็นหญิงสาวสงบเสงี่ยมเรียบร้อยตามแบบฉบับผู้ดีอังกฤษ ส่วนเมแกนกลายเป็นสาวผิวสีผู้มีอารมณ์โกรธเกรี้ยว การที่ ‘เดอะ ซัน’ กล่าวหาเมแกนว่าทำให้เคทถึงกับหลั่งน้ำตาเรื่องชุดของเด็กหญิงผู้ถือดอกไม้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญยิ่ง เพราะนั่นคือเหตุการณ์ที่ทางสำนักพระราชวังปล่อยให้เกิดข่าวเท็จเกี่ยวกับเมแกน ข่าวที่ตรงกับกรอบความคิดทางด้านเชื้อชาติที่ได้รับการประโคมกันอย่างหนักจากสื่อหลากหลายสำนัก “ถือเป็นตัวอย่างที่ไม่ควรเกิดขึ้น แต่มันแสดงให้เห็นว่าผู้คนต่างปล่อยให้ผู้หญิงผิวดำและผู้หญิงผิวสีถูกตราหน้าว่าเป็นพวกมักมากและโมโหร้าย” Britt Stephens นักเขียนและบรรณาธิการผู้ทำข่าวราชวงศ์ กล่าว “และเราพยายามกันอย่างไม่ย่อท้อที่จะปกป้องผู้หญิงผิวขาวในทุกกรณี”
การที่เมแกนกล่าวกับโอปร่าห์ว่าแท้จริงแล้วเคทคือผู้ที่ทำให้เธอต้องเสียน้ำตา กลายเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ทุกอย่างพลิกผัน บางรายให้ความเห็นว่าการที่เมแกนกล่าวหาเคทในเรื่องนี้ คือการยืนยันว่าทั้งคู่ต่างไม่ลงรอยกัน แต่ฉันกลับเห็นถึงมิตรไมตรีที่เมแกนเน้นย้ำว่าเธอ “ไม่ได้บอกเล่าเรื่องนี้เพื่อทำให้เคทเสื่อมเสียชื่อเสียง” เธอเพียงแต่เห็นว่ามันเป็น “เรื่องที่สำคัญมากที่ผู้คนควรจะได้ทราบความจริง” เคทกล่าวขอโทษและมอบช่อดอกไม้พร้อมข้อความให้เมแกน เธอกล่าวเสริมว่า “เธอทำในสิ่งที่ฉันก็จะทำ ถ้ารู้ว่าทำให้ใครบางคนเสียความรู้สึก”
ถึงแม้ว่าเมแกนจะอนุญาตให้แฟนๆ ติดตามและสนับสนุนทั้งเธอและเคท แต่เรื่องก็ยังไม่จบเพียงเท่านี้ และดูจะมีปัญหาเสียยิ่งกว่าเดิมหลังจากการให้สัมภาษณ์กับโอปร่าห์ “มันยังเป็นไปได้อยู่หรือไม่ ที่จะสนับสนุนทั้งคู่ไปพร้อมๆ กัน? ฉันคิดว่ามันเป็นไปได้อย่างแน่นอน” สตีเว่นส์กล่าว แต่ “สิ่งที่ฉันได้ทราบจากการสัมภาษณ์ เปลี่ยนความคิดของฉันที่มีต่อเคทไปเช่นกัน” การที่เมแกนอ้างว่าทางราชวงศ์ ซึ่งน่าจะรวมไปถึงเจ้าชายวิลเลี่ยมและเคท ไม่ได้ให้การช่วยเหลือในช่วงที่เธอพยายามก้าวข้ามความคิดเรื่องการปลิดชีพ ทำให้ภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของทั้งคู่ในฐานะผู้สนับสนุนทางด้านสุขภาพจิตอยู่ในจุดหักเห “คุณพูดออกมาได้อย่างไรว่ามีการคุยกันเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพจิต เมื่อคุณไม่แม้แต่จะดูแลสุขภาพจิตของบุคคลในครอบครัวของตนเอง” Palepu ตั้งคำถาม
สำหรับฉันแล้ว มันช่างน่าผิดหวังที่ได้ทราบว่าเคทอาจไม่ได้ให้ความช่วยเหลือเมแกน และฉันยังคงสงสัย ดูเหมือนเมแกนก็เช่นเดียวกัน ว่าเคทจะสามารถปฏิเสธข่าวลือเรื่องชุดของเด็กหญิงผู้ถือช่อดอกไม้ไปได้อีกสักเท่าไร “ฉันหวังว่าเธอคงอยากที่จะแก้ไขให้มันถูกต้อง” เมแกนบอกเล่าแก่โอปร่าห์เรื่องเคท “และเป็นไปได้ว่าทางสำนักพระราชวังไม่ให้ใครอื่นคัดค้านในเรื่องนี้ พวกเขาไม่ยอมให้เธอทำเช่นนั้นเป็นแน่ เพราะเธอเป็นคนดี” เจ้าชายแฮร์รี่ได้กล่าวออกมาอย่างชัดเจน ว่าตัวเขานั้นเชื่อว่าเจ้าชายชาร์ลส์และเจ้าชายวิลเลี่ยม ผู้สืบทอดราชบัลลังก์โดยตรง ถูกผูกติดอยู่กับราชวงศ์โดยไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ผู้เป็นภรรยาจะเหลือรอดอะไรในวงจรที่ว่านี้
การเปรียบเทียบดัชเชสทั้งสองจากตำแหน่งหน้าที่ภายในสถาบันนั้นดูจะตื้นเขินเกินไป ในฐานะราชินีในอนาคต ซึ่งเป็นทั้งคู่สมรสของหนึ่งรัชทายาทและมารดาของอีกหนึ่งรัชทายาท เคทถูกคุมเข้มด้วยกฎระเบียบและความคาดหวัง ขณะที่เมแกน ในฐานะภรรยาของเจ้าชายผู้สืบทอดราชบัลลังก์เป็นลำดับที่หก มีอิสระมากกว่า (เพียงเล็กน้อย) ในการออกมาพูดเรื่องสิทธิสตรีหรือเขียนข้อความให้กำลังใจแก่ผู้ให้บริการทางเพศ การออกมาพูดอย่างเปิดอกในการสัมภาษณ์กับโอปร่าห์คือสิ่งที่แฟนๆ คงไม่มีทางที่จะได้เห็นจากเคท และฉันคิดว่านั่นคือสิ่งที่ทำให้เมแกนกลายเป็นบุคคลที่น่าติดตามไปโดยปริยาย ตามที่สตีเว่นส์ได้กล่าวไว้ว่า “เราจะไม่มีวันได้รู้เลยว่าตัวตนที่แท้จริงของเคทนั้นน่าสนใจเพียงใด”
จากการคาดการณ์ ดูเหมือนว่าการให้สัมภาษณ์กับโอปร่าห์ของเมแกนและแฮร์รี่คือชนวนที่แบ่งแยกฝ่ายซัสเซกซ์และฝ่ายเคมบริดจ์โดยสมบูรณ์ โมเม้นต์ที่ทั้งสี่จะได้ร่วมทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กลับกลายเป็นเพียงภาพลวงตาที่แสนจะสวยสดงดงามเพียงชั่วครู่ Lui เล่าให้ฉันฟังถึงความใฝ่ฝันที่จะได้เห็นหนุ่มสาวรุ่นใหม่อย่างวิลเลี่ยม, เคท, แฮร์รี่, และเมแกน ช่วยกันปรับปรุงเปลี่ยนแปลงและเพิ่มเติมความสดใหม่ให้แก่ราชวงศ์ที่คงอยู่มาอย่างเนิ่นนาน ณ ตอนนี้ “ฉันบอกไม่ได้แล้วว่าผู้หญิงทั้งสองจะยังนับญาติกันอยู่หรือไม่” Lui กล่าว “และถ้าย้อนกลับไปที่ต้นตอของปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้น เราจะค้นพบว่าลึกๆ แล้ว สามีของพวกเธอทั้งคู่นั้นแตกสลายไปมากมายเพียงใด”
ถึงกระนั้นแล้ว ผู้ริเริ่มบล็อก ‘What Kate Wore’ อย่างเคลลี่ยังคงไม่ล้มเลิกความตั้งใจ และยังคงมองหาแง่มุมดีๆ บนโลกออนไลน์ เธอเริ่มต้นด้วยการเขียนและส่งต่อข้อความที่แสดงถึงความรู้สึกขอบคุณ เพื่อให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับผู้ติดตามเพจของเธอบนเฟสบุ๊ค และเมื่อเมแกนพูดถึงเรื่องสุขภาพจิตของตนเอง ผู้ก่อตั้ง ‘What Meghan Wore’ อย่าง Courter เชื่อว่านั่นเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้คนตระหนักถึงปัญหาของเรื่องนี้ “เราจำเป็นจะต้องพ่นความเกลียดชังบนโลกออนไลน์ต่อเคทหรือเมแกนกันด้วยหรือ พวกเธอต้องเผชิญกับอะไรกันบ้าง เราไม่มีทางที่จะรู้ได้เลย” เธอกล่าว “ผู้คนเพียงแต่รู้จักพวกเธอจากที่ไกลๆ”
แปล: ชนิสรา กตัญญูทวีทิพย์
ข้อมูล : Vogue Us
WATCH