LIFESTYLE

เปิดวิธีเลือกหมอนอย่างไรให้นอนสบายไม่ปวดคอ

หมอนดี ชีวิตก็ดีขึ้น! การเลือกหมอนที่ดีเป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพการนอนหลับที่ดี ตื่นเช้ามาพร้อมร่างกายที่สดชื่น และพร้อมรับวันใหม่ได้อย่างเต็มที่

เรื่อง: วราภรณ์ หงส์วรางกูร

     ปัญหาการหลับไม่เต็มตื่นหรือตื่นเช้ามาแล้วปวดคอถือเป็นเรื่องที่หลายคนประสบพบเจอ และสาเหตุของปัญหาที่มักถูกมองข้ามไปคือการเลือกหมอนหนุนนอน เพราะหมอนที่ไม่เหมาะสมกับสรีระไม่ว่าจะแข็งไป นุ่มไป หรือเสื่อมสภาพแล้ว ล้วนเป็นต้นเหตุของอาการปวดคอ ปวดไหล่ และส่งผลกระทบให้นอนไม่หลับ บทความนี้โว้กจึงจะมาช่วยคุณเลือกหมอนที่ใช่เพื่อการนอนหลับที่สนิทและสบาย ตื่นมาแล้วสดใสพร้อมรับมือกับทุกกิจกรรม

 

ภาพถ่ายโดย Andrea Piacquadio จาก Pexels: https://www.pexels.com/th-th/photo/3807760/ 

1. รู้จักตัวเองก่อน: เลือกหมอนให้เหมาะกับท่านอน

     หมอนมีหลากหลายประเภทซึ่งแต่ละประเภทเหมาะกับท่านอนที่แตกต่างกัน การเลือกหมอนที่ไม่ตรงกับท่านอนอาจทำให้เกิดการกดทับ หรือไม่รองรับสรีระ เพราะฉะนั้นจึงควรเลือกหมอนให้เหมาะกับท่านอนที่ถนัดของตนเอง โดยท่านอนจะเป็นตัวกำหนดรูปทรงและความสูงของหมอนที่เหมาะที่สุด

  • ท่านอนตะแคง: ควรเลือกหมอนหนาปานกลางเพื่อรองรับศีรษะและลำคอให้ได้ระดับ ช่วยให้กระดูกสันหลังอยู่ในแนวตรง หมอนหนาเกินไปอาจทำให้คอแอ่น ในขณะที่หมอนบางเกินไปอาจทำให้คอตึง
  • ท่านอนหงาย: ควรเลือกหมอนหนาปานกลางถึงบางเพื่อรองรับศีรษะและลำคอ ไม่ควรหนาเกินไปจนทำให้คอแอ่น ควรเลือกหมอนที่มีความนุ่มปานกลาง เพื่อให้ศีรษะไม่จมลงไปมากเกินไป
  • ท่านอนคว่ำ: ควรเลือกหมอนบางมาก หรือไม่ใช้หมอนเลยเนื่องจากการนอนคว่ำ การใช้หมอนหนาอาจทำให้คอและกระดูกสันหลังอยู่ในท่าที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิดอาการปวดคอหรือปวดไหล่ได้ง่าย

 

ภาพถ่ายโดย cottonbro studio จาก Pexels: https://www.pexels.com/th-th/photo/4108796/ 

2. วัสดุหมอน: เลือกให้เหมาะกับความชอบ

     วัสดุของหมอนมีผลทั้งต่อความนุ่ม ความแข็ง และการระบายอากาศ ทางที่ดีควรเลือกวัสดุที่มีคุณสมบัติที่ตรงกับความต้องการ หรือตรงกับความชอบส่วนตัว

  • ใยสังเคราะห์: ราคาประหยัด ทำความสะอาดง่าย แต่ระบายอากาศได้ไม่ดีเท่าวัสดุอื่นๆ อาจทำให้เกิดความอับชื้นได้
  • ใยฝ้าย: ระบายอากาศได้ดี นุ่มสบาย แต่ราคาอาจสูงกว่าใยสังเคราะห์ และอาจยุบตัวได้ง่ายกว่า
  • ยางพารา: มีความยืดหยุ่นสูง รองรับสรีระได้ดี ระบายอากาศได้ดี ทนทาน แต่ราคาค่อนข้างสูง
  • เมมโมรี่โฟม: รองรับสรีระได้ดี ช่วยลดแรงกดทับ แต่ระบายอากาศได้ไม่ดีเท่าวัสดุอื่นๆ 
  • ขนเป็ด หรือ ขนห่าน: นุ่มฟู เบา ระบายอากาศได้ดี แต่ราคาสูง อาจก่อให้เกิดภูมิแพ้สำหรับบางคนได้ และต้องดูแลรักษาและทำความสะอาดมากเป็นพิเศษ

 



WATCH




ภาพถ่ายโดย Castorly Stock จาก Pexels: https://www.pexels.com/th-th/photo/3682240/ 

3. เช็กความสูงและขนาดของหมอนให้เหมาะกับร่างกาย

     ความสูงของหมอนมีผลต่อสุขภาพกระดูกสันหลัง การเลือกหมอนให้มีความสูงที่เหมาะสมจะช่วยให้กระดูกสันหลังอยู่ในแนวตรง ลดโอกาสการเกิดอาการปวดคอ ปวดไหล่ และอาการปวดเมื่อยต่างๆ ได้

  • ความสูงของหมอน: ความสูงของหมอนควรสัมพันธ์กับความสูงของไหล่ เพื่อให้เมื่อนอนราบคอและศีรษะอยู่ในแนวเดียวกับกระดูกสันหลัง ไม่เอียงหรือโค้งงอ การวัดความสูงที่เหมาะสมอาจทำได้โดยการวัดระยะห่างระหว่างไหล่ถึงศีรษะขณะนอนตะแคง และเลือกหมอนที่มีความสูงใกล้เคียงกับระยะนี้
  • ขนาดของหมอนและเตียง: ขนาดของหมอนควรเหมาะสมกับขนาดของเตียง และควรเลือกหมอนที่มีขนาดใหญ่พอที่จะรองรับศีรษะและลำคอได้อย่างเต็มที่ หมอนที่เล็กเกินไปอาจไม่สามารถรองรับได้อย่างเพียงพอ ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยได้

 

ภาพถ่ายโดย Vlada Karpovich จาก Pexels: https://www.pexels.com/th-th/photo/5357334/ 

4. ทดลองนอนก่อนซื้อเพื่อสัมผัสความสบายด้วยตัวเอง

     การทดลองนอนก่อนซื้อหมอนเป็นสิ่งที่หลายคนมองข้ามไป บางคนอาจพิจารณาแค่รูปลักษณ์ ราคา หรือวัสดุเพียงอย่างเดียว แต่แท้ที่จริงการทดลองนอนก่อนจะช่วยให้คุณเลือกหมอนที่เหมาะกับตนเองได้ดีที่สุด 

  • ความนุ่มและความแข็ง: บางคนชอบหมอนที่นุ่มมาก บางคนชอบนอนหมอนแข็งๆ ฉะนั้นการลองนอนก่อนจะช่วยให้สัมผัสได้ถึงความนุ่ม ความแข็ง ได้ตรงกับความชอบ
  • ป้องกันการซื้อผิดพลาด: การทดลองนอนก่อนซื้อจะช่วยลดโอกาสที่จะซื้อหมอนที่ไม่เหมาะสม และต้องเสียเงินซื้อใหม่
  • ความชอบส่วนตัว: ความสบายในการนอนเป็นเรื่องส่วนบุคคล สิ่งที่คนอื่นรู้สึกสบาย บางคนอาจรู้สึกไม่สบายก็ได้ นั่นทำให้การลองนอนก่อนจะช่วยให้เลือกหมอนที่ตอบโจทย์ความต้องการ และความชอบส่วนตัวได้มากที่สุด

 

ภาพ: Freepik.com

5. เช็กสัญญาณว่าควรเปลี่ยนหมอนได้แล้ว

     หมอนก็เหมือนสิ่งของอื่นๆ ที่มีอายุการใช้งาน ถึงแม้จะดูเหมือนยังใช้งานได้ดีอยู่ แต่ภายในอาจเสื่อมสภาพไปแล้ว ส่งผลต่อสุขภาพการนอนหลับได้ ซึ่งต่อไปนี้คือสัญญาณที่บอกว่าควรเปลี่ยนหมอนได้แล้ว

  • อายุการใช้งาน: โดยทั่วไปแล้วหมอนควรเปลี่ยนทุก 1-2 ปี ไม่ว่าจะดูเหมือนยังใช้งานได้ดีแค่ไหนก็ตาม เพราะภายในหมอน ใยหรือวัสดุต่างๆ จะค่อยๆ เสื่อมสภาพ ยุบตัว และสูญเสียความสามารถในการรองรับศีรษะและลำคอ ส่งผลให้การนอนหลับไม่สนิท และอาจทำให้ปวดคอ ปวดไหล่ได้
  • หมอนยุบตัว: นี่เป็นสัญญาณที่ชัดเจนที่สุด หากหมอนยุบตัวลงอย่างเห็นได้ชัด แสดงว่าใยหรือวัสดุภายในเริ่มเสื่อมสภาพ ไม่สามารถรองรับศีรษะและลำคอได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว 
  • รูปทรงเปลี่ยนไป: หากหมอนเสียทรง ไม่ฟู หรือไม่กลับคืนสู่รูปทรงเดิมหลังจากการใช้งาน แสดงว่าวัสดุภายในเริ่มเสื่อมสภาพ และไม่สามารถให้การรองรับที่ดีได้อีกต่อไป
  • มีกลิ่นอับ: กลิ่นอับชื้น หรือกลิ่นไม่พึงประสงค์ เป็นสัญญาณว่าหมอนกำลังสะสมแบคทีเรีย เชื้อรา และไรฝุ่น ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ควรเปลี่ยนหมอนใหม่ทันที 
  • รู้สึกไม่สบายตัวขณะนอน: หากรู้สึกปวดคอ ปวดไหล่ หรือตื่นมาแล้วรู้สึกไม่สดชื่น แม้ว่าจะเปลี่ยนท่าและท่านอนแล้วก็ตาม หมอนอาจเป็นสาเหตุ ลองเปลี่ยนหมอนใบใหม่ เพื่อดูว่าอาการเหล่านี้จะดีขึ้นหรือไม่
  • มีคราบสกปรกหรือรอยเปื้อน: หากหมอนมีคราบสกปรก รอยเปื้อน หรือมีร่องรอยของการใช้งานที่หนักหน่วง ถึงเวลาต้องเปลี่ยนหมอนใหม่แล้ว เพื่อสุขอนามัยที่ดี

 

WATCH

TAGS : Pillow