ย้อนกลับไปในปี 2006 ที่ The Devil Wears Prada เข้าฉายบนจอเงิน ปีที่หลายคนอาจจะเป็นวัยรุ่นหรือเพิ่งเริ่มเส้นทางวัยทำงานของตัวเอง ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าเกือบทุกคนที่ได้ดู The Devil Wears Prada ไม่ว่าจะในปีที่ออกฉายหรือปีใดๆ ก็ตาม เสียงส่วนมากต่างมองว่าตัวละคร Miranda Priestly เป็นดั่งภาพจำลองของ ‘เจ้านายเผด็จการ’ ที่เย็นชา โหดเหี้ยม และเนี้ยบทุกรายละเอียดที่สุดเท่าที่โลกแฟชั่นจะจินตนาการออกมาได้ เธอไร้ความปราณี ไม่เคยพูดขอบคุณ ไม่เคยสบตาใครเวลาออกคำสั่ง และไม่เคยยอมรับว่าคนอื่นก็เหนื่อยเหมือนเธอ ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งให้บรรยากาศในออฟฟิศของ Miranda เต็มไปด้วยความเกรงกลัว ไม่ใช่เพราะเสียงตะคอกหรือคำหยาบคาย แต่เป็นเพราะความนิ่งบาดลึกของเธอเองที่ยากจะต่อต้าน
แต่เมื่อเวลาผ่านไปเกือบสองทศวรรษ ผู้ชมจำนวนไม่น้อยที่ถูกกาลเวลาขัดเกลาความคิดต่างเริ่มหันกลับมามองตัวละคร Miranda ใหม่ด้วยมุมมองที่เปลี่ยนไป จากที่เคยมองว่าเธอคือตัวร้ายในชีวิตของ Andy Sachs หลายคนเริ่มทำความเข้าใจ Miranda มากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อได้เติบโตและทำงานในระบบองค์กรจริงๆ ถึงกับเคยมีคำพูดตลกร้ายว่า “ตอนอายุ 20 ปี ฉันอยากเป็น Andy แต่พออายุ 35 ฉันกลายเป็น Miranda โดยไม่รู้ตัว” อันสะท้อนถึงวงจรการทำงานที่คอยหล่อหลอมให้เราค่อยๆ สูญเสียตัวตนและจิตวิญญาณ จนสุดท้ายเราอาจกลายเป็นหนึ่งในตัวละครที่เราเคยไม่อยากจะเป็น

ในฐานะบรรณาธิการบริหารของ Runway นิตยสารแฟชั่นที่ถูกวางบทบาทให้เป็นดั่งตัวแทนของนิตยสาร Vogue อย่างชัดเจน และเช่นเดียวกัน Miranda Priestly คือผู้นำหญิงในตำแหน่งสูงสุดของอุตสาหกรรมที่ไม่เคยมีพื้นที่ให้ความอ่อนโยนอยู่รอดได้ เธอรู้ดีว่าความไม่เด็ดขาดเพียงครั้งเดียวอาจทำให้วงจรแฟชั่นทั้งฤดูกาลสะดุด การวางตัวในตำแหน่ง ‘ผู้หญิงที่เก่งกาจ’ ในโลกที่ความเป็นผู้นำยังถูกผูกกับภาพจำของเพศชาย ไม่เพียงต้องรับผิดชอบงานที่เกินความสามารถมนุษย์ แต่ยังต้องรับมือกับคำตัดสินจากสายตาของคนภายนอกตลอดเวลา ซึ่งในหนังมีหลายฉากที่เปิดเผยชีวิตส่วนตัวของ Miranda ว่าเธอกำลังเผชิญกับปัญหาการหย่าร้าง ความห่างเหินจากลูก และต้องเก็บซ่อนทุกอย่างไว้ให้ดีภายใต้หน้ากากที่เพอร์เฟ็กและคำพูดที่เฉียบคม สิ่งที่น่าสนใจคือหลายคนมองว่าแม้ Miranda จะมีหน้าที่การงานที่ดีแต่กลับมีชีวิตส่วนตัวที่เละเทะไม่เป็นท่า ปฏิเสธไม่ได้ว่าค่อนข้างไม่ยุติธรรมสำหรับเธอเท่าไรนัก เพียงเพราะเลนส์ความเป็นเพศหญิงที่ถูกนำมาใช้เป็นเหตุผลในการตัดสินว่าเธอล้มเหลวในด้านอื่นๆ ทั้งที่หากตัวละครนี้เป็นเพศชาย การเป็นผู้นำที่ทำงานจนไม่กลับบ้าน ละเลยครอบครัว ในสังคมเราแล้วมักถูกมองว่าเป็นผู้เสียสละแทนที่จะเป็นภาพของความเย็นชาหรือความล้มเหลว

หนึ่งในบทเรียนสำคัญของ The Devil Wears Prada คือการแสดงให้เห็นว่าทุกอำนาจมาพร้อมต้นทุนบางอย่าง และทุกความคาดหวังจากหัวหน้าไม่ได้แปลว่าเขาหรือเธอไร้หัวใจ แต่เพราะพวกเขาเองก็ถูกทุนนิยมกดดันไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะ Andy ที่ต้องวิ่งเรียนรู้ชีวิตวัยทำงานจากประสบการณ์จริง หรือ Miranda ที่ไม่ได้มีเวลามานั่งพูดจาไพเราะหรือสอนงานใครอย่างใจเย็น เพราะเธอเองก็ต้องแบกองค์กรระดับโลกเอาไว้บนบ่า และไม่มีใครให้เวลาหรือโอกาสเธอได้ทำผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ซึ่งเป็นธรรมดาของโลกในระบบทุนนิยม ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายคนอาจเคยเป็นลูกน้องแบบ Andy ที่ต้องคาดเดาว่าหัวหน้าจะอารมณ์ดีหรือไม่ในแต่ละวัน หรือบางคนอาจกลายเป็นผู้นำ และพบว่าการรักษามาตรฐานองค์กรไม่ใช่แค่เรื่องของทักษะ แต่คือการสร้างภาพลักษณ์ ความเด็ดขาด และความพร้อมในทุกสถานการณ์ ไม่เช่นนั้นแล้ว ‘ระบบ’ จะตัดสินเองว่าใครคู่ควรหรือไม่คู่ควร โดยเฉพาะเมื่อเป็นเพศหญิง

แม้หลายคนจะรู้ว่า Miranda ได้แรงบันดาลใจมาจาก Anna Wintour บรรณาธิการระดับตำนานของ Vogue US ซึ่งผู้แต่งนวนิยายต้นฉบับอย่าง Lauren Weisberger เคยทำงานในฐานะผู้ช่วยแต่บทบาทของ Miranda ก็ไม่ได้เป็นการล้อเลียนชีวิตจริงเพียงมิติเดียว หนังและนิยายพยายามแสดงให้เห็นถึงภาวะที่ ‘การเป็นผู้หญิงที่ทรงพลัง’ แต่กลับถูกตีตราด้วยค่านิยมที่ย้อนแย้ง ถูกบูชาด้วยความเกรงกลัวแต่อีกมุมก็ถูกเกลียดเพียงเพราะเธอไม่ได้ทำตัวเป็น ‘ผู้หญิง’ มากพอ ซึ่งการที่คนรุ่นใหม่เริ่มมอง Miranda ด้วยความเข้าใจมากขึ้น จึงไม่ใช่เพราะเยอมรับการกดขี่หรือการใช้อำนาจในที่ทำงาน แต่เป็นเพราะต่างตระหนักมากขึ้นว่าโลกของการทำงานโดยเฉพาะในระดับสูง ไม่เคยมีที่ให้ความเปราะบาง และบางครั้งการเป็น ‘ปีศาจ’ อาจเป็นเพียงวิธีเดียวที่ผู้หญิงจะอยู่รอดในระบบที่ยังไม่เคยตั้งใจเปิดทางให้พวกเธอ

ในปี 2025 ที่วัฒนธรรมองค์กรกำลังเปลี่ยนไป ความยืดหยุ่น ความเห็นอกเห็นใจ และการรับฟังเสียงพนักงานกลายมาเป็นทักษะที่ผู้นำยุคใหม่ต้องมี การกลับไปดู The Devil Wears Prada อีกครั้งจึงน่าสนใจเพราะมันชวนตั้งคำถามว่า ‘ถ้าวันนี้ Miranda Priestly เริ่มต้นใหม่ เธอจะอยู่รอดไหม?’ หรือจะยังมองว่าผู้หญิงที่กล้าตัดสินใจเด็ดขาดอย่างเธอน่ากลัวอยู่หรือเปล่า? ทฤษฎีเหล่านี้อาจไม่ได้ทำให้รักตัวละคร Miranda มากขึ้น แต่อย่างน้อย มันแปลว่าหลายคนเริ่มมองเห็นความซับซ้อนของเธอ และเริ่มตั้งคำถามกับระบบที่ทำให้ผู้หญิงแบบเธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกเหนือจากการทำตัวแข็งกระด้างจนดูไร้หัวใจ เพราะโลกที่อำนาจยังไม่ได้กระจายอย่างเท่าเทียม บางครั้ง ‘That’s all.’ ก็อาจเป็นประโยคเดียวที่ผู้หญิงที่อยู่บนจุดสูงสุดพอที่จะใช้รักษาพื้นที่ของตัวเองเอาไว้ได้
ภาพยนตร์เรื่อง The Devil Wears Prada กลับมาถ่ายทำภาคที่สองหลังจากผ่านไปเกือบสองทศวรรษ เป็นที่น่าสนใจว่าตัวละครจะเติบโตไปทางใดบ้าง โดยเฉพาะตัวละครอย่าง Miranda ‘ปีศาจ’ แห่งความโหดเหี้ยม เนี้ยบ และไร้ปราณี เพราะนอกเหนือจากความแข็งแกร่งและเลือดเย็นของเธอแล้ว ในภาคแรกได้มีการเปิดเผยถึงชีวิตส่วนตัวที่แทบจะตรงข้ามกับหน้าที่การงานสุดเพอร์เฟ็กต์ ผ่านบทบาทความเป็นผู้นำที่เธอต้องแบกรับซึ่งสวนทางกับค่านิยมทางเพศที่เธอต้องเผชิญโดยสิ้นเชิง
(สามารถตามไปอ่านบทความ 'เซอร์ไพรส์! ลุคแรกของ Meryl Streep จากกองถ่าย The Devil Wears Prada 2' ได้ที่นี่)

ฉลองครบรอบ 19 ปี! The Devil Wears Prada 2 เริ่มถ่ายทำแล้ว พร้อมนักแสดงนำชุดเดิมครบทุกคน




