Vogue Scoop Love in the Big City

LIFESTYLE

VOGUE SCOOP | สำรวจเกาหลีใต้ผ่านสายตาของ ‘แจฮี’ และ ‘ฮึงซู’ จากภาพยนตร์เรื่อง Love in the Big City

เจาะลึกประเด็นแฝงใน 'Love in the Big City' ภาพยนตร์น้ำดีจากเกาหลีใต้ว่าด้วยเรื่องราวของชีวิตหญิงสาวและเกย์หนุ่มท่ามกลางเมืองใหญ่

โดย Achiraya Duangkaew
03 กันยายน 2568

แม้จะเดบิวต์บนจอเงินมาตั้งแต่ปี 2024 แล้ว แต่ Love in the Big City เวอร์ชั่นภาพยนตร์กำลังกลับมาเป็นกระแสเนื่องจากเพิ่งเปิดตัวบนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งในประเทศไทย ภาพยนตร์โรแมนติกความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนที่ดัดแปลงมาจากเรื่องสั้น ‘Jae-hee’ หนึ่งในสี่เรื่องจากนิยายชุด Love in the Big City เรื่องราวของสองเพื่อนรักต่างขั้วอย่าง ‘แจฮี’ (คิมโกอึน) สาวมั่นที่ใช้ชีวีตบนความอิสระและ ‘ฮึงซู’ (โนซังฮยอน) ชายหนุ่มเก็บตัวที่ปกปิดเพศสภาพจากสังคมที่ไม่อ่อนโยนต่อเกย์ จากคนแปลกหน้าสู่คนที่อยู่ด้วยกันทุกช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านของชีวิต สิ่งที่น่าสนใจคือภาพยนตร์สามารถถ่ายทอดมุมมองของคนรุ่นใหม่ที่ใช้ชีวิตท่ามกลางเมืองใหญ่ผ่านความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของสองบุคคลในแบบที่เกาหลีใต้ไม่อยากให้พวกเขาเป็น

Article

เป็นที่ชี้ชัดอยู่แล้วว่าภาพยนตร์อยากจะนำเสนอการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ท่ามกลางสังคมใหญ่ในกรุงโซล เมืองหลวงที่เต็มไปด้วยแรงกดดันจากระบบทุนนิยม แจฮีและฮึงซูเป็นตัวแทนของนักศึกษาที่ต้องดิ้นรนท่ามกลางสนามรบที่ชื่อว่า ‘ทุนนิยม’ ที่โหดร้าย ผู้คนใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ การแข่งขันที่กดดัน และค่าครองชีพที่สูงลิ่ว นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ฮึงซูเลือกที่จะย้ายเข้ามาอาศัยใต้ชายคาเดียวกับแจฮี เพราะการจะประคับประคองชีวิตให้อยู่รอดในกรุงโซลจำเป็นต้องตัดต้นทุนบางส่วนออก เผยอีกด้านภาพฝันของกรุงโซลที่เต็มไปด้วยความศิวิไลซ์และทันสมัย แสงสีนีออนเหล่านั้นไม่ได้ส่องสว่างให้ทุกคนอย่างเท่าเทียม แต่กลับเป็นไฟที่เผาไหม้คนที่ ‘อยู่นอกระบบ’ มากกว่าจะมอบความอบอุ่นให้

 

Article

ต่อเนื่องมาจากความโหดร้ายของโลกทุนนิยม การอาศัยร่วมกันของแจฮีและฮึงซูถูกมองว่าเป็นความไม่บริสุทธิ์ใจ ด้วยบริบทของเกาหลีใต้ที่มีความเชื่อว่า ‘ผู้ชายกับผู้หญิงเป็นเพื่อนกันไม่ได้’ ฝังรากลึกในสังคมผ่านวัฒนธรรม การศึกษา และแบบแผนครอบครัว ฉะนั้นความใกล้ชิดของแจฮีและฮึงซูในสายตาคนนอกจึงถูกตีความว่าต้องเป็นความรักเชิงชู้สาวเท่านั้น นับเป็นอีกหนึ่งความท้าทายของภาพยนตร์ที่เลือกจะฉายประเด็นนี้ แจฮีและฮึงซูจำต้องอาศัยร่วมกันเพราะค่าเช่าห้องในกรุงโซลที่แพงหูฉี่ พวกเขาหายใจร่วมชายคากันมาหลายปี กินข้าวมานับไม่ถ้วน พึ่งพาอาศัยกันและกัน แต่ไม่ได้มีความรู้สึกเสน่หาใดๆ แบบที่สังคมแปะป้าย แม้จะไม่มีความสัมพันธ์เชิงชู้สาว ไม่มีคำจำกัดความ ไม่มีการเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ แต่ภายในห้องเล็กๆ กลับเต็มไปด้วยความเข้าใจ การดูแล และการให้อภัย คุณสมบัติที่คู่รักชายหญิงบางคู่อาจไม่เคยพบเจอ นี่จึงเป็นอีกบทเรียนอันล้ำค่าที่สังคมควรเปิดใจว่าความรักไม่ได้มีเพียงด้านเดียว และความสัมพันธ์ของชายหญิงไม่จำเป็นต้องจบลงด้วยเซ็กส์เสมอไป

 

Article

หนึ่งในความบาดลึกที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่บทสนทนาปลดทุกข์ แต่คือความเงียบงันของความรุนแรงที่ไม่ควรมีใครต้องเผชิญอย่างการถูกทำร้ายร่างกาย ไม่ว่าสาเหตุจะมาจากการเป็นฝ่ายบอกเลิกในความสัมพันธ์หรือเพียงเพราะเป็นเกย์ เมื่อมองลึกถึงระดับโครงสร้างแล้วความรุนแรงเป็นผลพวงมาจากการที่สังคมไม่รู้วิธีรับมือกับ ‘ตัวตนที่ไม่เชื่อง’ ของคนแปลกแยกและเลือกที่จะตอบโต้ด้วยความรุนแรงเพื่อรักษาระเบียบนั้น ผ่านเลนส์ของผู้ชายที่เชื่อว่าความรักคือการครอบครองและถือสิทธิ์ในการครอบงำ ทำให้อีกฝ่ายตกอยู่ภายใต้อำนาจในความสัมพันธ์ เมื่อเกิดความไม่เชื่อง การทำให้อีกฝ่ายกลายเป็น ‘สิ่งชำรุด’ จึงเป็นการดิ้นรนของอำนาจชายที่กำลังจะหมดความสามารถในการควบคุม ในขณะเดียวกัน การส่งสารจากสังคมที่ไม่เปิดรับความหลากหลายทางเพศ ตัวตนที่แปลกประหลาดจากพิมพ์สังคมจึงถูกมองว่าเป็นภัย ความรุนแรงก็เป็นอีกหนึ่งคำตอบที่ยืนยันว่าโครงสร้างอำนาจทางเพศในเกาหลีใต้ยังกดทับผู้คนอย่างโหดเหี้ยม

 

Article

สังคมที่ถูกวางกรอบไว้อย่างหนาแน่น การเป็นตัวของตัวเองบางครั้งก็ไม่ปลอดภัย อีกสับเซตที่เป็นผลพวงมาจากระบบชายเป็นใหญ่ที่มาพร้อมความคาดหวังให้ชายและหญิงต้องเป็นแบบที่พวกเขาอยากให้เป็น แจฮีและฮึงซูภาพสะท้อนความขัดแย้งของความคาดหวังเหล่านั้น พวกเขาไม่ได้ทำผิดกฎหมาย หากแต่ก่อกวนระบบผ่านการดำรงอยู่ของตัวตนที่แหวกจากกรอบ แน่นอนว่าเกาหลีใต้เกลียดผู้หญิงแบบแจฮีและเกย์แบบฮึงซู การป้ายว่าทั้งสองผิดปกติจึงเป็นอีกทางออกที่สังคมพยายามกลบความไม่ปกตินั้น เมื่อสองคนที่ถูกมองว่าผิดแปลกมาพบกัน ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงไม่ใช่แค่มิตรภาพลวงตา แต่เป็นการเยียวยาและรักษาบาดแผลซึ่งกันและกัน เพราะการเป็นตัวเองไม่ใช่อาชญากรรม พวกเขาไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อสังคม แต่เลือกอยู่เคียงข้างกันดั่งพื้นที่ปลอดภัยที่ไม่ต้องมีใครเสียใจที่จะเป็นตัวเอง

 

Article

ในโลกที่พยายามทำให้ทุกอย่างดูเรียบร้อย สมบูรณ์แบบ และตรงตามแบบแผน การดำรงอยู่ของแจฮีและฮึงซูเป็นดั่งฝุ่นละอองเล็กๆ ท่ามกลางเมืองที่ใหญ่โต ถูกพัดพาไปในทิศทางที่ไม่ว่าจะถูกหรือผิดก็ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโต ทั้งสองผ่านช่วงเวลาในชีวิตมาด้วยกัน ตั้งแต่อายุ 21 27 หรือ 33 ทั้งสุขและทุกข์ หัวเราะและร้องไห้ บางครั้งอาจขัดแย้งกันบ้างแต่ก็พร้อมให้อภัยบนพื้นฐานของมิตรภาพที่ดี สองคนที่สังคมมองว่าผิดแปลกถ่ายทอดภาพรวมของสังคมเกาหลีใต้ผ่านการใช้ชีวิตที่ซื่อตรงต่อตนเอง นับเป็นความท้าทายเงียบๆ แต่ทรงพลัง และในสังคมที่ไม่อ่อนโยนกับคนแปลกแยก ปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งคู่ต่างก็พยายามมองหาใครสักคนที่พร้อมจะโอบรับความไม่ปกติของพวกเขาไว้อย่างใจดี เพราะสุดท้ายแล้วการยอมรับและใช้ชีวิตที่เป็นตัวเองอย่างไรก็คงเป็นตัวเลือกที่มีความสุขที่สุด

 

Love in the Big City ภาพยนตร์น้ำดีของเกาหลีใต้ที่นอกจากจะเป็นสมุดบันทึกช่วงชีวิตของแจฮีและฮึงซูแล้ว ยังเป็นอีกหลักฐานชั้นดีที่สะท้อนว่าด้วยตัวตนที่สังคมมองว่าแปลกแยก ก็ยังมีใครสักคนที่พร้อมจะโอบกอดตัวตนแปลกแยกนั้นของเราอยู่ และการใช้ชีวิตบนความแปลกที่สังคมแยกแยะด้วยกฎเกณฑ์ลวงตา เป็นสิ่งยืนยันว่าแม้จะถูกทับถมแค่ไหนก็ยังมีสิทธิ์ที่จะใช้ชีวิตในแบบที่เป็นตัวเอง เชื่อว่าหลายๆ คนต้องการการโอบรับและรอคอยที่จะพบเจอความรักดีๆ ในแบบแจฮีและฮึงซูมีให้กัน

 

(สามารถตามอ่านบทความ 'VOGUE SCOOP | ฟุตบอลปี 2025 การเปิดโลกใหม่ที่มากกว่ากีฬา และการเปิดรับความสนใจทุกรูปแบบ' ได้ที่นี่)

กราฟิก : จินาภา ฟองกษีร
ภาพ : Courtesy of Netflix Thailand and Courtesy of Plus M Entertainment
VOGUE SCOOP | สำรวจเกาหลีใต้ผ่านสายตาของ ‘แจฮี’ และ ‘ฮึงซู’ จากภาพยนตร์เรื่อง Love in the Big City