แฟรงเกนสไตน์ 2025

LIFESTYLE

VOGUE SCOOP | สำรวจมิติของความเป็นมนุษย์ผ่านเลนส์ 'อมนุษย์' จากภาพยนตร์เรื่อง Frankenstein 2025

เจาะลึก Frankenstein (2025) ภาพยนตร์น้ำดีจากวรรณกรรมคลาสสิก ที่ครั้งนี้ว่าด้วยเรื่องราวการหยั่งลึกถึงความเป็นมนุษย์ผ่านสองมุมของ 'มนุษย์ผู้หวาดกลัว' และ 'อมนุษย์ผู้โดดเดี่ยว'

โดย Achiraya Duangkaew
12 พฤศจิกายน 2568

'มนุษย์สร้างสัตว์ประหลาด หรือสัตว์ประหลาดสร้างความเป็นมนุษย์' ประโยคพอสังเขปเกี่ยวกับภาพยนตร์ Frankenstein (2025) ของ 'Guillermo del Toro' นับเป็นการปัดฝุ่นใหม่ให้กับวรรณกรรมคลาสสิกจากปลายปากกาของ 'Mary Shelley' ที่เวอร์ชั่นนี้ไม่ได้เป็นเพียงการนำโครงเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ แทนที่จะฉายภาพความสยดสยองของสิ่งมีชีวิตที่มนุษย์ก็ไม่ใช่ สัตว์ประหลาดก็ไม่เชิง del Toro เลือกที่จะถ่ายทอดความเป็นมนุษย์ผ่านเลนส์ของอมนุษย์ โดยการสำรวจมิติความลึกของจิตใจในยุคที่วิทยาศาสตร์คานอำนาจกับศีลธรรม ซึ่งความน่าสนใจอยู่ตรงที่ภาพยนตร์ชวนตั้งคำถามถึงพันธะระหว่าง 'ผู้สร้าง' กับ 'ผู้ถูกสร้าง' ในเชิงนามธรรมผ่านตัวละครหลักอย่าง 'Victor Frankenstein' นักวิทยาศาสตร์ผู้ปราดเปรื่องและสัตว์ประหลาดที่เขาไม่เคยแม้แต่จะเรียกชื่อมันด้วยซ้ำ

 

Article

ความหยิ่งทะนงของมนุษย์

หนึ่งในแก่นสำคัญของ Frankenstein ทุกเวอร์ชั่นคือ ความทะเยอทะยานอยากของมนุษย์ที่ต้องการจะก้าวล้ำความเป็นพระเจ้า ถ่ายทอดผ่านตัวละคร Victor Frankenstein ชายผู้เปี่ยมไปด้วยความเจ็บปวด สูญเสีย และความต้องการที่จะมีอำนาจไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง การที่เขาพยายามสร้างชีวิตจากซากศพไม่ใช่การท้าทายพระเจ้าอย่างยโส แต่เป็นการกลบปมในจิตใจผ่านความพยายามที่จะเอาชนะความตาย โดยเฉพาะในยุคที่วิทยาศาสตร์คานอำนาจกับศีลธรรม จึงเป็นเรื่องง่ายมากที่ Victor จะถูกมองว่าเป็นพวกนอกรีต แปลกแยก หรือผู้ท้าทายพระเจ้าเสียมากกว่าผู้ก้าวล้ำทางวิทยาศาสตร์ Victor ใช้ไฟฟ้าในการคืนชีพให้กับซากศพ เปรียบเสมือนตำนานโปรมีธีอุสที่ช่วงชิงไฟจากเทพเจ้ามาให้มนุษย์และถูกลงโทษชั่วนิรันดร์ Victor ก็เช่นกัน เขาไม่อาจหลีกหนีจากสิ่งที่พยายามฝืนธรรมชาติสร้างขึ้นมาได้ เกิดเป็นคำถามชวนสงสัยว่า จริงๆ แล้ว การพยายามสร้างสิ่งมีชีวิตจะทำให้มนุษย์เข้าใกล้การเป็นพระเจ้า หรือเป็นการตอกย้ำถึงความกลัวต่อความสูญสิ้น

 

Article

เราทุกคนต่างเป็นสัตว์ประหลาด

เมื่อให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตนี้ขึ้นมันก็ถูกตีตราว่าเป็น 'สัตว์ประหลาด' แม้ว่านอกจากรูปลักษณ์แล้ว สิ่งใดที่มนุษย์รู้สึก ตัวมันก็ย่อมรู้สึกเช่นกัน ตัวละครถูกดีไซน์ออกมาอย่างประณีต ผิวที่ซีดเซียว ร่องรอยการสมานเนื้อหนัง และดวงตาที่เศร้าสร้อย แทนที่จะหวาดกลัวกลับให้ความรู้สึกเปราะบางเสมือนแก้วที่ถูกประกอบขึ้นอย่างไม่เรียบเนียน มีร่องรอยบ่งบอกว่าร่างกายนี้เคยกระจัดกระจายมาก่อน ตัวละครนี้ถ่ายทอดแนวคิด 'ความเป็นอื่น' ได้อย่างเฉียบคมผ่านสายตาและท่าทีของมนุษย์ที่ได้พบเจอระหว่างทาง ด้วยรูปลักษณ์ที่แตกต่างทำให้ตัวมันไม่เคยได้รับโอกาสพิสูจน์ตัวเอง ดั่งกระจกสะท้อนภาพสังคมในปัจจุบันที่คนเรามักกลัวสิ่งที่ผิดแปลกไปจากตนเองและพร้อมผลักไสบุคคลเหล่านั้นอยู่เสมอ สอดคล้องนัยยะที่ภาพยนตร์สื่อว่าความกลัวเองก็เป็นสัตว์ประหลาดเช่นกัน

 

Article

การสร้างชีวิตโดยปราศจากความรัก นับเป็นบาปที่ลึกยิ่ง

ความสัมพันธ์ระหว่าง 'ผู้สร้าง' กับ 'ผู้ถูกสร้าง' ก็เป็นอีกต้นตอของเรื่องราวทั้งหมด การให้กำเนิดสัตว์ประหลาดทำให้ตัวมันรู้สึกผูกพันกับ Victor ในฐานะผู้สร้างแต่ก็เคียดแค้นในฐานะผู้ทอดทิ้ง ภาพยนตร์ได้ขยายความสัมพันธ์ให้มีมิติมากกว่าการเป็นศัตรูคู่แค้น Victor สร้างมันขึ้นมาด้วยความมุ่งมั่น แต่เมื่อมันกำเนิดขึ้นมา เขากลับหวาดกลัวการมีอยู่ของมัน การทอดทิ้งจึงเป็นตัวเลือกแรกที่เขาทำ และมันสร้างบาดแผลใหญ่ไว้ในใจของสัตว์ประหลาดที่จมปลักท่ามกลางความโดดเดี่ยวและการตามหาความหมายของการมีอยู่ ทำให้ตัวมันโหยหาความสัมพันธ์ทางอารมณ์ที่ผู้สร้างไม่สามารถมอบให้มันได้ สัตว์ประหลาดจำต้องเรียนรู้และค้นหาความหมายของการมีชีวิตอยู่ด้วยตัวมันเอง การถูกสร้างขึ้นมาโดยปราศจากความรักนับเป็นความเจ็บปวดแบบมนุษย์เท่าที่อมนุษย์จะรู้สึกได้ ความล้มเหลวของ Victor ไม่ใช่การสร้างสัตว์ประหลาดขึ้นมาแต่คือการหนีจากสิ่งที่เขาสร้างขึ้น และสิ่งนี้เองที่จะหลอกหลอนเขาไปจนวาระสุดท้าย

 

Article

ในความเงียบ มีความเมตตา

เรื่องราวดำเนินมาจนถึงช่วงท้าย จากการปักใจในความเคียดแค้นของสัตว์ประหลาด ภาพยนตร์ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นโทนสงบและลุ่มลึก สัตว์ประหลาดตัวนี้ที่มนุษย์มองว่าน่ากลัว ท้ายที่สุดแล้วมันเพียงต้องการแสวงหาความหมายของการมีชีวิต 'ทำไมตัวมันจึงถูกสร้างขึ้นมา?' คำถามนี้อาจเป็นคำถามเดียวกับในใจใครหลายคนที่ต่างพยายามตามหาความหมายของการมีอยู่ ซึ่งคำตอบนั้นอาจจะเป็นการได้รับการยอมรับและการให้อภัย เช่นเดียวกับสัตว์ประหลาด del Toro ปิดเรื่องด้วยความเรียบง่ายผ่านความเมตตาอันเป็นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ซึ่งแผ่มาจากอมนุษย์ เพียงประโยคเดียวที่ชำระล้างทุกคำถามที่ตัวมันพยายามตามหาคำตอบมาเนิ่นนาน ณ ขณะนี้ตัวมันได้รับการปลดปล่อยเสียที

 

Frankenstein (2025) เป็นการตีความใหม่ให้กลายเป็นการเล่าเรื่องจากมุมมองของ 'มนุษย์ผู้หวาดกลัว' และ 'อมนุษย์ผู้โดดเดี่ยว' สองด้านในจิตใจที่สะท้อนกลับตาลปัตรซึ่งกันและกัน ผ่านธีมหลักอย่างวิทยาศาสตร์ที่อบอุ่นไปด้วยความรู้และเหตุผลมากมาย แต่กลับมีตรรกะที่เย็นชาและขาดความเข้าใจ นับเป็นอีกภาพยนตร์น้ำดีที่เล่นล้อไปกับจิตใจความเป็นมนุษย์ พร้อมชวนตั้งคำถามถึงขอบเขตของชีวิตว่าแท้จริงแล้ว เลือดเนื้อและสมองที่เต้นอยู่ทำให้มนุษย์รู้สึกเป็นมนุษย์ หรือความสามารถในการรู้สึกเห็นอกเห็นใจและการให้อภัยที่ทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์

 

กราฟิก: สุกฤตา ว่องวัฒนพิบูลย์

(สามารถตามไปอ่านบทความ 'VOGUE SCOOP | สำรวจเกาหลีใต้ผ่านสายตาของ ‘แจฮี’ และ ‘ฮึงซู’ จากภาพยนตร์เรื่อง Love in the Big City' ได้ที่นี่)

Photo : Courtesy of Netflix
VOGUE SCOOP | สำรวจมิติของความเป็นมนุษย์ผ่านเลนส์ 'อมนุษย์' จากภาพยนตร์เรื่อง Frankenstein 2025