ซีรี่ส์ อนาคต
LIFESTYLE

เปิดบทสัมภาษณ์นักแสดง 'อนาคต' ซีรี่ส์เน็ตฟลิกซ์ที่เสียดสีเมืองไทยด้วย Ai สุดล้ำ

เจาะลึกซีรีส์ อนาคต ที่ว่าด้วยการตีแผ่อนาคตในวันที่คนสิ้นศรัทธาต่อศาสนาและเอไอกำลังจะเข้ามาครองโลก นอกจากเรื่องราวที่เข้มข้นแล้ว นี่คือซีรีส์ที่ใช้นวัตกรรมซีจีที่ล้ำที่สุดอีกหนึ่งเรื่องของเมืองไทย

ช่างภาพ: สุดเขต จิ้วพานิช
สไตลิสต์: สลาลี สมบัติมี
แต่งหน้า: รัตนาวี ชุนจำรัส
ทำผม: ดุรากร ขาวประดิษฐ์

----------------------------------------------------------------------------------------

     จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าในอีก 20 ปีข้างหน้าคนไทยสามารถสร้าง Sex Robot เพื่อลดปัญหาการค้าประเวณีผิดกฎหมาย เกิดการท้าทายความเชื่อเดิมๆ ในเรื่องศาสนา หรือการโคลนนิ่งสามารถทำได้จริงจนกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา ตามไปหาคำตอบกันได้จากไอเดียและจินตนาการล้ำๆ ของผู้กำกับกอล์ฟ-ปวีณ ภูริจิตปัญญา (ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง สี่แพร่ง ห้าแพร่ง บอดี้ ศพ#19 และซีรีส์ Ghost Lab) ที่นำเสนอเรื่องของ “อนาฅต” หรือ Tomorrow & I” ผ่านซีรีส์ 4 เรื่องที่สะท้อนมุมมองต่อสังคมและโลกของเรา โว้กชวนกอล์ฟกับ 2 นักแสดงที่เขาคัดเลือกมาด้วยตัวเอง อิ้งค์-วรันธร เปานิล และเอม-ภูมิภัทร ถาวรศิริมาคุยให้ฟังเกี่ยวกับโปรเจกต์สุดล้ำนี้ 

     VOGUE:  คำว่า “อนาฅต” ทำไมถึงใช้เป็นตัว “ฅ”

     Golf: จริงๆ แล้วมันมาจากการเล่นคำ ถามว่าอนาคตของคนหรือของพวกเราจะเป็นอย่างไร คือเรากำลังเล่าถึงเรื่องอนาคตก็เลยบิดคำและบวกกับชื่อภาษาอังกฤษของเรื่องนี้คือ Tomorrow & I มันคือวันพรุ่งนี้กับตัวของเราเอง ก็เลยเป็นคำที่ถูกดีไซน์ขึ้นมาให้เป็น “ฅ” หรือคนในอนาคต

     V: ในฐานะผู้กำกับ ซีรีส์เรื่องนี้ต้องการสื่อสารอะไรกับคนดู

     G: เราหยิบประเด็นของสังคมขึ้นมาพูดคุยกัน โดยเราอยากเริ่มจากคำถามที่ว่าอยากจะมีอนาคตแบบไหน อย่างที่เรารู้กันว่าการกระทำปัจจุบันคือเหตุในการสร้างอนาคตที่เราต้องการ ผมก็เลยหยิบประเด็น 4 ประเด็นที่ตัวผมและน้องๆ ครีเอเตอร์สนใจมาพูดถึง เช่น เรื่องของความเชื่อกับการโคลนนิ่ง การที่สามารถเอาชีวิตกลับมาได้ คุณค่าของชีวิตกับความเชื่อแบบไทยๆ ถ้าตายแล้วเราโคลนนิ่งกลับมาเขายังเป็นคนอยู่หรือเปล่า หรือจริงๆ เราควรจะหมดเวรหมดกรรมและควรจะปล่อยเขาไป แต่เขามีความสามารถนะ ไม่อยากเอาเขากลับมาทำงานต่อเหรอ ก็เลยจะเป็นที่ถกเถียงซึ่งประเทศอื่นอาจไม่มีประเด็นแบบนี้ แต่สังคมไทยมันมีแน่นอน ประเด็นที่ 2 เกี่ยวกับเรื่องศาสนา เราเห็นเด็กหลายคนในยุคนี้ไม่ค่อยสนใจศาสนาแล้ว คนชอบตั้งคำถามว่า “เรามีศาสนาไปเพื่ออะไร” เราก็เลยอยากนำเสนอมุมมองอีกมุมหนึ่งว่าในโลกอนาคต ศาสนายังจำเป็นสำหรับคนรุ่นใหม่หรือเปล่า และถ้าวันหนึ่งมันมีเอไอหรืออะไรบางอย่างที่ขึ้นมาทดแทนศาสนาจะเป็นอย่างไร ตอนนี้มีชื่อตอนว่า “ศาสดาต้า” มาเรื่องที่ 3 จะเป็นตอนที่ชื่อว่า “เทคโนโยนี” ซึ่งนำประเด็นโสเภณีมาเล่า ชื่อเรื่อง Sex Worker ประเด็นนี้เป็นประเด็นของสังคมที่มองว่าเป็นการเรียกร้องต่อสู้ เราก็มาตั้งคำถามกันว่าประเด็นนี้จะเป็นอย่างไรในโลกอนาคต ซึ่งใน 3 ตอนแรกเป็นมุมมองที่สะท้อนความเชื่อส่วนบุคคลที่เราหยิบมาตีแผ่ให้เห็นมุมมองของเราในเรื่องนั้น แต่ในตอนที่ 4 ผมว่ามันเป็นตอนที่พูดกับทุกคนบนโลกเพราะเราหยิบประเด็นเรื่องความเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อมหรือภาวะโลกร้อนมาให้ขบคิดกันว่าเราจะเอาตัวรอดได้อย่างไรกับภาวะของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปทุกวัน ตอนนี้ชื่อว่า “เด็กหญิงปลาหมึก”

     V: พูดถึงการคัดเลือกนักแสดงแต่ละตอน ใช้วิธีคัดเลือกอย่างไรว่าบทนี้ต้องคนนี้เท่านั้น

     G: ตอนเขียนบทผมนึกถึงนักแสดงที่ผมอยากจับมาเล่นไว้ในใจอยู่แล้ว ผมรู้สึกว่ามีนักแสดงหลายคนที่เราพลาดไม่ได้ร่วมงานกับพวกเขา อย่างน้องอิ้งค์ ผมเคยกำกับเอ็มวีให้อิ้งค์ตอนอิ้งค์อายุ 12 (หัวเราะ) หลังจากนั้นผมก็ได้เห็นฝีมือการแสดงของน้องบ้าง มีบางงานที่เราเกือบจะได้ทำงานด้วยกันแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ เราก็เลยทดเอาไว้ในใจว่าเราอยากทำงานกับคนนี้ ในวันที่ผมเขียนบทหมอนุ่นขึ้นมาใน นิราศแกะดำ ผมก็นึกถึงอิ้งค์เป็นคนแรก รวมถึงอีกหลายๆ คนไม่ว่าจะเป็นบอย (ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์) หรืออย่างปอย (ตรีชฎา เพชรรัตน์) เนี่ยเรารู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์และเขาก็ทำงานวิจัยเรื่องพันธุกรรมศาสตร์ด้วย ก็เลยชวนเขามาเล่น ส่วนเอม ผมไม่เคยร่วมงานด้วย แต่ผมเห็นผลงานการแสดงของเขาหลายๆ เรื่องที่โดดเด่น เขาเป็นนักแสดงที่เป็นนักแสดงจริงๆ เราก็ติดบนบอร์ดไว้ว่าวันหนึ่งเราจะชวนเขามาเล่น ผมคิดว่าโปรเจกต์นี้เป็นโปรเจกต์ที่เป็นทีมนักแสดงในฝันของผมเลย และสุดท้ายพอได้พวกเขามาเล่นจริงๆ ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง



WATCH




     V: พูดถึงการคัดเลือกนักแสดงแต่ละตอน ใช้วิธีคัดเลือกอย่างไรว่าบทนี้ต้องคนนี้เท่านั้น

     G: ตอนเขียนบทผมนึกถึงนักแสดงที่ผมอยากจับมาเล่นไว้ในใจอยู่แล้ว ผมรู้สึกว่ามีนักแสดงหลายคนที่เราพลาดไม่ได้ร่วมงานกับพวกเขา อย่างน้องอิ้งค์ ผมเคยกำกับเอ็มวีให้อิ้งค์ตอนอิ้งค์อายุ 12 (หัวเราะ) หลังจากนั้นผมก็ได้เห็นฝีมือการแสดงของน้องบ้าง มีบางงานที่เราเกือบจะได้ทำงานด้วยกันแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ เราก็เลยทดเอาไว้ในใจว่าเราอยากทำงานกับคนนี้ ในวันที่ผมเขียนบทหมอนุ่นขึ้นมาใน นิราศแกะดำ ผมก็นึกถึงอิ้งค์เป็นคนแรก รวมถึงอีกหลายๆ คนไม่ว่าจะเป็นบอย (ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์) หรืออย่างปอย (ตรีชฎา เพชรรัตน์) เนี่ยเรารู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์และเขาก็ทำงานวิจัยเรื่องพันธุกรรมศาสตร์ด้วย ก็เลยชวนเขามาเล่น ส่วนเอม ผมไม่เคยร่วมงานด้วย แต่ผมเห็นผลงานการแสดงของเขาหลายๆ เรื่องที่โดดเด่น เขาเป็นนักแสดงที่เป็นนักแสดงจริงๆ เราก็ติดบนบอร์ดไว้ว่าวันหนึ่งเราจะชวนเขามาเล่น ผมคิดว่าโปรเจกต์นี้เป็นโปรเจกต์ที่เป็นทีมนักแสดงในฝันของผมเลย และสุดท้ายพอได้พวกเขามาเล่นจริงๆ ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง

     V: อยากให้แต่ละคนเล่าถึงตัวละครที่ตัวเองได้รับว่าเป็นอย่างไรบ้าง ตัวละครตัวนี้มีความคิดใกล้เคียงเรามากน้อยแค่ไหน

     Ink: หมอนุ่นเป็นคุณหมอที่ต้องไปปลูกถ่ายอวัยวะเทียมในอวกาศ หมอนุ่นก็เลยเป็นทั้งคุณหมอและนักบินอวกาศ เขาเป็นคนเก่ง ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและจัดว่าเป็นคนดังในยุคนั้น ซึ่งถ้าเทียบกับอิ้งค์ ไม่มีอะไรใกล้เคียงอิ้งค์เลย(หัวเราะ) เพราะตัวอิ้งค์เองเรียนมาทางสายศิลปะ เรียนดนตรีมาอย่างเดียว แต่คุณหมอนุ่นจะเป็นสายวิทยาศาสตร์สุดโต่งและความฝันของเขามันยิ่งใหญ่มาก จุดที่คล้ายกันกับตัวละครน่าจะเป็นเรื่องความตั้งใจในการทำอะไรสักอย่าง เพราะอิ้งค์ก็เป็นคนที่ถ้าต้องทำอะไรสักอย่างต้องทำออกมาให้ดีที่สุด ซึ่งหมอนุ่นก็มีอารมณ์แบบนั้นเหมือนกัน  

     Aelm: ผมได้รับบทเป็น “นีโอ” ครับ นีโอเป็นนักธุรกิจเป็นซอฟต์แวร์เอนจิเนียร์ที่มีแบ็กกราวนด์ไม่ค่อยดีเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาและเขาก็มีบาดแผลในใจมาจากครอบครัวที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทำให้นีโอโตขึ้นมาพร้อมกับความคิดที่ว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงวงการพุทธศาสนาของไทยด้วยการใช้เทคโนโลยี ซึ่งตัวละครตัวนี้ไม่ได้มีความใกล้เคียงผมเลย ผมเป็นคนอายุ 30 กว่าๆ ที่ไม่รู้เรื่องเทคโนโลยี พวกการเขียนโค้ดหรืออัปเดตซอฟต์แวร์ผมก็ทำไม่เป็น อีกอย่างคือนีโอเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูงมาก ซึ่งผมเป็นคนที่ไม่ค่อยทะเยอทะยานอะไรขนาดนั้น...

     สามารถตามไปอ่านบทสัมภาษณ์เต็ม พร้อมแฟชั่นเซ็ตของพวกเขาได้ในนิตยสารโว้กประเทศไทย เดือนมกราคม 2025 วางแผงแล้วทั่วประเทศ

WATCH