3 Boby Problem คือซีรี่ส์แนวไซไฟที่เปิดตัวอย่างร้อนแรงช่วงปลายเดือนมีนาคม 2024 สร้างกระแสฮิตให้คนทั่วโลกพูดถึงการดัดแปลงผลงานวรรณกรรมจากจีนให้มีความสำคัญและปรับบริบทเข้ากับโลกยุคปัจจุบันไปจนถึงอนาคต รูปแบบการนำเสนอที่เต็มไปด้วยปริศนาความเข้มข้น หลักการทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงการสื่อสารอารมณ์ผ่านประวัติศาสตร์และชีวิตบุคคลอย่างลึกซึ้งทำให้ซีรี่ส์เรื่องนี้กลายเป็นผลงานเรื่องเยี่ยมที่ทุกคนประทับใจ ถึงกระนั้นมันก็สอดแทรกแนวคิดเชิงสังคมวิทยาเข้ามาไว้อย่างหนักแน่น

     เรื่องสังคมวิทยาที่สำคัญเรื่องนี้ผู้เขียนจะหยิบยกนิยาม ‘Sacred’ โดย Emile Durkheim มาจับประเด็นกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเนื้อเรื่อง เส้นเรื่องถูกเล่ามาตั้งแต่เรื่องของหญิงสาวนักวิทยาศาสตร์ที่ตรากตรำชีวิตหฤโหดในหน้าประวัติศาสตร์จีน เหล่าคนมีความรู้ถูกกวาดล้าง จนกระทั่งได้พบกับวิธีการสื่อสารที่จะมุ่งเน้นเป้าหมายสู่การติดต่อสิ่งอะไรก็ตามในจักรวาล จนกระทั่งเธอทำสำเร็จและมันก็กลายเป็นเส้นเรื่องที่เหมือนจะไซไฟเต็มที่แต่กลับเชื่อมโยงกับมิติความเชื่อและรูปแบบโครงสร้างทางศาสนาและความศรัทธาผ่านการเปรียบเปรยได้อย่างมีนัยสำคัญ

     ‘ชาวซานถี่’ นี่คือตัวแทนของกลุ่มสิ่งมีชีวิตนอกโลก มันคือความหวังใหม่ที่คนยังมิอาจทราบถึงรูปแบบนิสัย หน้าตา หรือแม้แต่องค์ประกอบการสร้างชีวิตเลยก็ตาม โลกที่หญิงสาวนักวิทยาศาสตร์มองว่าเน่าเฟะเช่นเดียวกับหลายๆ คนจึงขับความรู้สึกต้องการการเปลี่ยนแปลง ซึ่งชาวซานถี่ที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้าก้าวไกลกว่ามนุษย์โลกหลายเท่าจึงกลายเป็นดั่งที่ยึดเหนี่ยวและความหวังแห่งการเปลี่ยนแปลง แม้ว่าหลายคนจะรู้อยู่แก่ใจว่ากลายเปลี่ยนแปลงนั้นอาจไม่ได้มาในรูปแบบเชิงบวกเสียทั้งหมด เพราะความไม่รู้ก็ทำให้คาดเดาอะไรไม่ได้จริงๆ

     อะไรที่ทำให้ชาวซานถี่เป็น ‘Sacred’ ประการแรกต้องอธิบายถึงคอนเซปต์แนวคิดเรื่องนี้ของเอมิลเสียก่อน ‘Sacred’ ถูกนิยามว่าเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติที่ได้รับการเคารพ ความพิเศษและล้ำหน้าทางวิทยาศาสตร์ถือเป็นความน่าเคารพนับถือและกลายเป็นสิ่งที่เหนือธรรมชาติจนถูกยกไว้บนหิ้ง เราจะเห็นว่าตัวละครจำนวนมากเรียกขานตัวแทนชาวซานถี่ว่า ‘My Lord’ แสดงถึงความเคารพนับถือและเชิดชูเหนือตนเอง องค์ความรู้ เทคโนโลยี ความล้ำหน้าทางวิทยาศาสตร์ และการสร้างปรากฏการณ์เหนือจริงจึงเป็นเหมือนสัญญะสำคัญของการแสดงออกว่าชาวซานถี่คือ ‘Sacred’ ในรูปแบบการเปรียบเปรยเชิงศาสนาในแบบฉบับของนักสังคมวิทยาฝรั่งเศสผู้เลื่องชื่อ

     เมื่อมีสิ่งบูชาก็ต้องมีคนบูชา ต้องบอกทฤษฎีของเอมิลมีการพูดถึงรูปแบบของความเชื่อที่ทอดยาวไปถึงเรื่องของความปกติธรรมดา หรือสิ่งนั้นถูกเข้าใจว่าเป็นผู้ศรัทธา มีการวิเคราะห์แสดงตัวอย่างเกี่ยวกับเกมกีฬาด้วยแนวคิด ‘Sacred & Profane’ โดยระบุว่าทีมกีฬามีนักกีฬา ตราสโมสร และชุดแข่งเป็นดั่งสิ่งพิเศษที่ทุกคนแฟนๆ เคารพนับถือ ส่วนแฟนๆ คือความปกติธรรมดาที่เข้ามาเกี่ยวพันสร้างโมเมนต์บูชาการลงแข่งของทีมนั้นๆ พวกเขารวมกลุ่มคนรักและศรัทธาเปรียบดั่ง ‘Profane’ ที่มีความธรรมดาแต่เชื่อมโยงเข้ากับ ‘Sacred’ โดยตรง ในซีรี่ส์เรื่องนี้ก็เช่นกัน พระเจ้าชาวซานถี่ของมนุษย์บางกลุ่มก็เป็นดั่งความพิเศษและพวกเขาก็ศรัทธานับถือ การมีชีวิตธรรมดาพร้อมความเชื่อสนับสนุนเพื่อยกชาวซานถี่ไว้บนหิ้งคือลักษณะของ ‘Profane’ โดยแท้

     ทั้งนี้ทั้งนั้นเรื่อง ‘Sacred & Profane’ จะสมบูรณ์ไม่ได้หากขาดสิ่งที่เรียกว่าพิธีกรรมและสถานที่ พิธีกรรมของฟุตบอลอาจหมายถึงเกมกีฬาและแนวทางการปฏิบัติที่สืบเนื่องกัน ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลงสโมสร หรือจะเป็นความเชื่อดั้งเดิมในการสนับสนุนทีม ไม่ว่ะจะเป็นการสวมเสื้อแข่งตัวเดิม และการสร้างพลังด้านอื่นๆ เป็นต้น สำหรับชาวซานถี่ในเรื่องนี้ต้องบอกว่าพิธีกรรมคือการพูดคุยและตั้งจิตใจศรัทธาร่วมเกี่ยวกับการมาถึงของสิ่งมีชีวิตที่รอคอยการมาถึงในระยะเวลา 4 ศตวรรษ การร่วมกันบูชาและสร้างชุดความคิดที่เชื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยมีสถานที่คือจุดว่างเปล่าแห่งความคิดที่สามารถรวมความคิดทุกคนให้เข้ามาเชื่อมโยงกับการยกชูชาวซานถี่ให้เหนือระดับยิ่งกว่าสิ่งใด

     ประเด็นเรื่องความเชื่อและความศรัทธาถูกเล่าอย่างเข้มข้น สังเกตได้จากการนำเสนอศรัทธาอันแรงกล้าของบุคคลจำนวนไม่น้อยที่กำลังคาดหวังกับความพิเศษของชาวซานถี่ ยอมแลกแม้กระทั่งชีวิตตัวเอง หากมองในเชิงศาสนานี่คือความเชื่ออันเข้มข้นที่ปรากฏขึ้นจริงหากเทียบกับบริบทสังคมมนุษย์ ความเชื่อที่มองไม่เห็นจำนวนมากกลายเป็นสิ่งครอบงำทำให้มนุษย์ปุถุชนผู้หลงใหลกับมันถึงขีดสุดยอมแลกทุกสิ่งทุกอย่าง หากจะมองว่าชาวซานถี่คือศาสนาหรือความเชื่อแสนพิเศษที่สะท้อนภาพความเชื่อศาสนาในปัจจุบันก็ต้องบอกว่าเป็นความจริงที่มิอาจปฏิเสธเลยจริงๆ

     ความเข้มข้นของ ‘Sacred’ ในซีรี่ส์เรื่องนี้เหมือนการตีแผ่ให้เห็นถึงรูปแบบความเชื่อของมนุษย์แบบแนบเนียน เพราะการเล่าเรื่องราวเบื้องหลังของตัวละครที่ต้องเผชิญกับความโหดร้ายของโลกมนุษย์เลือกจะเชื่อมั่นสิ่งใหม่ที่ตนไม่เคยสัมผัสเชิงกายภาพเลยด้วยซ้ำ เปรียบดั่งมนุษย์ในโลกความจริงที่ต้องเผชิญกับช่วงชีวิตอันหฤโหดและหันไปศรัทธากับอะไรบางสิ่งเพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจ นี่คือวิถีแห่งความศรัทธาที่อยู่คู่กับมนุษย์มาเป็นเวลานาน แม้ซีรี่ส์เรื่องนี้จะถูกอธิบายและเล่าเรื่องในแบบฉบับซีรี่ส์วิทยาศาสตร์ แต่แท้จริงแล้วมันคือการสะท้อนภาพเรื่องศาสนาผ่านสิ่งที่ตรงข้ามกับศาสนาที่สุด ซึ่งมันสอดแทรกวิธีการตัดสินใจ ความเชื่อ การต่อต้าน และความรู้สึกไม่มั่นใจหรือตั้งคำถาม หากจะพูดว่านี่เป็นซีรี่ส์สะท้อนเรื่องศาสนาด้วยการเปรียบเปรยก็คงไม่ผิดนัก หากใครยังไม่ได้ชมผู้เขียนแนะนำเลยว่าไม่ควรพลาดเด็ดขาด